ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการคมนาคมขนส่ง ด้วยโครงการพัฒนาระบบ รถไฟทางคู่ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมการเดินทางและขนส่งสินค้า ยกระดับขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เดินหน้าอย่างเต็มที่ โดยเส้นทางสำคัญอย่าง ขอนแก่น-หนองคาย ได้เปิดประมูลและอนุญาตให้เอกชนเข้าพื้นที่ก่อสร้างแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี และพร้อมเปิดให้บริการได้ในปี 2571

ทำไมรถไฟทางคู่จึงเป็นหัวใจสำคัญ?

เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยมีทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบทางภูมิศาสตร์อย่างมหาศาล ด้วยการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การขนส่งผู้คนและสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทางรางล้วนต้องผ่านประเทศไทย ไม่ว่าจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่ลาวและจีนตอนใต้ หรือลงใต้ไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

ปัจจุบันความต้องการในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และประเทศต่างๆ ก็พยายามเชื่อมต่อการขนส่งระหว่างกันในหลายเวที แต่ระบบรถไฟของไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น การเดินรถที่ไม่แม่นยำเพราะส่วนใหญ่ยังเป็นทางเดี่ยว, ความไม่สะดวกในการเชื่อมต่อระหว่างระบบรางกับถนนหรือเรือ, การขาดแคลนที่จอดรถรับ-ส่งผู้โดยสาร หรือลานเทกองสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การขนส่งแบบไร้รอยต่อยังไม่เกิดขึ้นจริง รวมถึงระบบบริหารจัดการที่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ

หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การขนส่งทางรถจากประเทศต่างๆ จะใช้ไทยเป็นทางผ่านมากขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหารถติด ฝุ่นควัน มลพิษ และภาระงบประมาณในการซ่อมแซมถนนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ด้วยเหตุนี้ การเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางราง และการผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพระบบขนส่งของประเทศให้รองรับการขยายตัวของการค้าชายแดน การค้าผ่านแดน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม

ความคืบหน้าของโครงการรถไฟทางคู่

ปัจจุบัน รฟท. ได้พัฒนา รถไฟทางคู่ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นทางรถไฟรัศมีกระจายออกไปรอบกรุงเทพมหานคร ระยะทางประมาณ 350-400 กิโลเมตรแล้วเสร็จ และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ ทางคู่ระยะที่ 2 เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และเติมเต็มเส้นทางที่ขาดหาย (missing link) รวมทั้งหมด 7 เส้นทาง ได้แก่:

  • ขอนแก่น-หนองคาย (167 กิโลเมตร)
  • ปากน้ำโพ-เด่นชัย (281 กิโลเมตร)
  • ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี (308 กิโลเมตร)
  • ชุมพร-สุราษฎร์ธานี (168 กิโลเมตร)
  • สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา (321 กิโลเมตร)
  • หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ (45 กิโลเมตร)
  • เด่นชัย-เชียงใหม่ (189 กิโลเมตร)

นอกจากเส้นทางขอนแก่น-หนองคายที่กำลังดำเนินการแล้ว รฟท. ได้เสนออีก 6 โครงการที่เหลือต่อผู้มีอำนาจอนุมัติ ซึ่งขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้ให้ความเห็นชอบ และอยู่ระหว่างการรวบรวมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติดำเนินโครงการต่อไป

ประโยชน์ของรถไฟทางคู่

การมีโครงข่ายรถไฟทางคู่ที่สมบูรณ์ จะช่วยให้การเดินทางและการขนส่งรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น เพราะสามารถเดินรถได้สองทาง ทำให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนการขนส่ง และช่วยให้สินค้าเกษตรหรือสินค้าที่มีอายุสั้นสามารถส่งถึงมือผู้ค้าและผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ รถไฟทางคู่ยังเป็นส่วนสำคัญในการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค สร้างการเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทางและการขนส่งระหว่างเมืองที่เพิ่มขึ้น และมีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง

โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่จึงเป็นนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคมและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่จะเปลี่ยนผ่านจากการขนส่งทางถนนสู่การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่า และใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย หากโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จ จะเพิ่มระยะทางให้บริการ สร้างทางเลือกการเดินทางที่ประหยัดและปลอดภัย ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง