พาณิชย์ไทย–ลาว เร่งขยายความร่วมมือเศรษฐกิจ ดันการค้าสองฝ่ายแตะ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2570

กระทรวงพาณิชย์ของไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เดินหน้ากระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า หวังยกระดับบทบาทการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงโลจิสติกส์ในลุ่มน้ำโขง พร้อมผลักดันมูลค่าการค้าทวิภาคีให้บรรลุเป้าหมาย 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 โดยอาศัยจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าชายแดน และเส้นทางรถไฟลาว–จีน เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแผนความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ไทย–ลาว ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายมะไลทอง กมมะสิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของ สปป.ลาว เป็นประธานฝ่ายลาว ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าในทุกมิติ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และสนับสนุนการเป็นเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าระหว่างอาเซียนกับจีน

สาระสำคัญของการหารือครั้งนี้ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เส้นทางรถไฟลาว–จีน โดยลดขั้นตอนและระยะเวลาการขนถ่ายสินค้า อำนวยความสะดวกให้สินค้าจากไทยสามารถเชื่อมต่อสู่ระบบรางได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายรถ พร้อมกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการขนส่งที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนและคำนวณต้นทุนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Land Linked ของ สปป.ลาว และก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ

ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการจัดทำแผนงานความร่วมมือระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2569–2573 เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานอย่างเป็นระบบและมีกรอบเวลาที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูกลไกความร่วมมือด้านการเกษตร การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหารและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ภายใต้แนวคิดการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดการเผา เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ข้ามพรมแดน

นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิตินำเข้าและส่งออกของสินค้าสำคัญ เพื่อใช้ในการประเมินสถานการณ์และคาดการณ์ทิศทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งฝ่าย สปป.ลาว ได้ยืนยันว่าการนำเข้าจากไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ภายในประเทศเท่านั้น และไม่มีการส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

การประชุมครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยมีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนของไทย และสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว เข้าร่วมนำเสนอแนวทางความร่วมมือ พร้อมเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนและคณะอนุกรรมการในสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ การผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การค้าและการสร้างแบรนด์ การท่องเที่ยว นโยบายและกฎระเบียบ การพัฒนาดิจิทัลและ AI รวมถึงการเงิน เพื่อผลักดันความร่วมมืออย่างต่อเนื่องควบคู่กับการประชุมระดับนโยบายของภาครัฐ

ปัจจุบัน สปป.ลาว เป็นคู่ค้าลำดับที่ 7 ของไทยในอาเซียน และอันดับที่ 18 ของโลก โดยในปี 2567 การค้ารวมมีมูลค่ากว่า 8,283 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมขยายตัวเกือบร้อยละ 19 สะท้อนศักยภาพและโอกาสในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและลาวในอนาคตอย่างต่อเนื่อง