การตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการปรับขึ้นภาษีศุลกากรถือเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อระบบการค้าโลก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยกว่า 26,000 ราย และแรงงานในภาคส่งออกกว่า 3 ล้านคนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและแรงกดดันจากตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดการประชุม BOT SYMPOSIUM 2025 ภายใต้หัวข้อ “ผลกระทบของสงครามการค้า ภูมิทัศน์ใหม่ของการค้าระหว่างประเทศ และนัยต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทย” เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้ประกอบการได้ร่วมกันถกเถียงถึงผลกระทบและแนวทางรับมือ โดย ดร.นุวัต หนูขวัญ จากสถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบหลักที่ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประการแรก คือผลกระทบโดยตรงจากภาษีนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ที่ถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตที่ใช้วัตถุดิบจากหลายประเทศและต้องส่งต่อไปยังตลาดสหรัฐ ประการที่สอง คือปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่สะดุดลงจากมาตรการกีดกันทางการค้า ทำให้การส่งวัตถุดิบไปประกอบหรือแปรรูปในประเทศที่สามก่อนเข้าสู่ตลาดสหรัฐมีต้นทุนสูงขึ้น ประการที่สาม คือความจำเป็นในการหาตลาดใหม่ แต่การกระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ต้องเผชิญการแข่งขันจากผู้ผลิตในประเทศอื่นซึ่งได้เปรียบด้านภาษี และประการสุดท้าย คือความเสี่ยงจากการปรับโครงสร้างห่วงโซ่การผลิตในอนาคต หากสหรัฐบังคับใช้เกณฑ์ Regional Value Content (RCV) ในสัดส่วนสูง 50–60% จะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า จักรกล และอุตสาหกรรมที่มีการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากหลายประเทศ
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า ผลกระทบจากภาษีจะไม่เหมือนกันในทุกอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นราว 19% แต่ยังคงมีบางสินค้าที่ได้รับการยกเว้น เช่น คอมพิวเตอร์และเซมิคอนดักเตอร์ ในขณะที่จีนถูกเก็บในกลุ่มเดียวกันสูงถึง 50–80% ทำให้ผู้ประกอบการไทยยังพอมีช่องว่างในการแข่งขัน แต่สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า กลับเผชิญแรงกดดันหนักจากทั้งมาตรา 232 ของกฎหมายการค้าสหรัฐที่เก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมถึง 50% และมาตรการภายใต้ IEEPA ที่เพิ่มอีก 19% ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมาก ส่วนอุตสาหกรรมอาหารทะเล แม้ไทยยังได้เปรียบเมื่อเทียบกับอินเดียและอินโดนีเซีย แต่ก็ยังเสียเปรียบประเทศอย่างเอกวาดอร์ที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเกณฑ์สินค้าสวมสิทธิ์ถือเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากโครงสร้างการผลิตของไทยมีสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศต่ำ (Local Content Requirement: LCR) และต้องพึ่งพาการนำเข้าจากหลายประเทศ หากสหรัฐไม่ยอมรับการนับรวม ASEAN หรือ ASEAN+ ในการคำนวณ RCV ไทยอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในหลายอุตสาหกรรมทันที
สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือโครงสร้างผู้ส่งออกไทยเองที่เปราะบาง กว่า 42% ของผู้ประกอบการมีอัตรากำไรสุทธิที่ต่ำ ทำให้ไม่มีพื้นที่ในการปรับราคาขายเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น อีกทั้งกว่า 75% ของผู้ส่งออกยังไม่กระจายตลาดพอสมควร การพึ่งพาสหรัฐมากเกินไปจึงทำให้ธุรกิจเหล่านี้รับแรงกระแทกโดยตรง
การขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การแข่งขันทางการค้าโลกไม่ได้อิงเพียงต้นทุนการผลิตหรือคุณภาพสินค้าเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการจัดวางกลยุทธ์ของผู้ประกอบการไทยด้วย ภาครัฐจึงจำเป็นต้องเร่งเจรจาและสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัว กระจายความเสี่ยง และลงทุนในเทคโนโลยีการผลิต เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยท่ามกลางภูมิทัศน์การค้าที่ผันผวนและไม่แน่นอนอย่างยิ่งในปัจจุบัน