ความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างจีนและเวียดนามกำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ในการขยายตัวของการค้าในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่การขนส่งสินค้าผ่านระบบรถไฟระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสามารถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ได้มากถึง 18,870 ตู้ เพิ่มขึ้นกว่า 283% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงการเพิ่มบทบาทของระบบขนส่งทางรางในห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค

สินค้าที่มีการส่งออกหลักผ่านเส้นทางนี้ ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์และแผ่นไม้ MDF ซึ่งมีการเติบโตของปริมาณขนส่งสูงถึง 100% และ 398% ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ผลิตจากมณฑลสำคัญของจีน เช่น เจียงซูและกวางตุ้ง ก่อนลำเลียงเข้าสู่เวียดนามผ่านท่าเรือนานาชาติหนานหนิงที่กลายเป็นศูนย์กลางหลักในการเชื่อมต่อโลจิสติกส์ระหว่างจีนกับภูมิภาคอาเซียน

การรถไฟของจีนและเวียดนามได้เร่งยกระดับสมรรถนะของระบบขนส่งร่วม โดยเพิ่มความสามารถในการลากจูงขบวนรถไฟจาก 1,000 ตันเป็น 1,300 ตันต่อขบวน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 และเพิ่มความถี่ของขบวนรถไฟระหว่างประเทศจาก 5 เที่ยวต่อสัปดาห์เป็น 14 เที่ยวต่อสัปดาห์ ทำให้การขนส่งจากเมืองหนานหนิงถึงสถานีเยนเวียนในกรุงฮานอย ใช้เวลาไม่เกิน 14 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา “บริการครบวงจร” ซึ่งครอบคลุมการวางแผน ชั่งน้ำหนัก และออกเอกสารในระบบเดียว ช่วยให้การดำเนินคำสั่งซื้อลดเวลาจากหลายชั่วโมงเหลือไม่ถึง 5 นาที สร้างความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างชัดเจน

โครงสร้างการขนส่งใหม่นี้ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อจีนเท่านั้น แต่ยังเอื้อให้เวียดนามสามารถขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ผลไม้สดอย่างทุเรียน มะม่วง และแก้วมังกร ซึ่งต้องการระบบขนส่งที่รวดเร็วและรักษาคุณภาพสูง การใช้รถไฟด่วนทำให้สินค้าสามารถถึงมือลูกค้าในจีนภายใน 48 ชั่วโมง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 150% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ความคืบหน้าของระบบรถไฟจีน–เวียดนามจึงสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของภูมิทัศน์โลจิสติกส์ในภูมิภาค ที่เน้นความเร็ว ประสิทธิภาพ และการเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ อีกทั้งยังส่งผลต่อการค้าในระดับภูมิภาค โดยขยายการเชื่อมต่อจากจีนเข้าสู่ลาว ไทย และประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนมากกว่า 25 มณฑลของจีน ทำให้ระบบรถไฟระหว่างประเทศกลายเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ใหม่ของการค้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในบริบทดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญกับโอกาสสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกผลไม้สดและสินค้าเกษตรที่ต้องพึ่งพาการขนส่งที่มีความรวดเร็วและรักษาคุณภาพสินค้าได้ดี การใช้เส้นทางรถไฟจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เช่น หนองคาย มุกดาหาร หรืออุบลราชธานี เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบรถไฟของเวียดนามผ่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว ก่อนเดินทางต่อไปยังสถานีเยนเวียน และเข้าสู่ระบบโลจิสติกส์ของจีนโดยตรง เป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูงในการลดต้นทุน เพิ่มความยืดหยุ่น และขยายตลาดไปยังภูมิภาคตะวันตกของจีน รวมถึงเอเชียกลาง

ยิ่งไปกว่านั้น การวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้สามารถต่อยอดได้ด้วยการลงทุนร่วมกับพันธมิตรเวียดนามหรือจีนในรูปแบบของศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าอุณหภูมิควบคุม หรือโรงแปรรูปสินค้าเกษตรในพื้นที่ใกล้แนวเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศ โดยเฉพาะบริเวณสถานีเยนเวียนหรือด่านผิงเสียง เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าไทย ตอบโจทย์ด้านคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานของตลาดจีน

การเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบรถไฟจีน–เวียดนามในปี 2568 ไม่เพียงเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ยังบ่งชี้ถึงการเร่งเครื่องสู่ยุคโลจิสติกส์ใหม่ของภูมิภาคอาเซียน ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัว วางกลยุทธ์ และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายขนส่งข้ามพรมแดนนี้ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าอย่างยั่งยืนในระยะยาว