ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หลังรัฐบาลไทยประกาศปิดด่านชายแดนทุกจุดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ยกเว้นเพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรม แม้ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อ 28 กรกฎาคม 2568 แต่บรรยากาศความไม่ไว้วางใจยังคงกดทับ การค้าชายแดนที่เคยคึกคักแทบหยุดชะงัก ขนส่งสินค้าทางบกลดเหลือศูนย์ ขณะที่การส่งออกทางเรือก็ชะลอตัว กัมพูชาเดินหน้าแคมเปญลดการพึ่งพาสินค้าไทยและหันไปหาคู่ค้ารายใหม่อย่างจีนและเวียดนาม ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจจึงยังไม่กลับมา
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐกิจอาเซียน ระบุว่า หากยึดจากมูลค่าการส่งออกไทยไปกัมพูชาในปี 2567 ที่มีมูลค่า 324,136 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 27,000 ล้านบาท การปิดด่านเต็มรูปแบบจะทำให้การส่งออกครึ่งปีหลัง (ก.ค.-ธ.ค.) หายไปราว 162,000 ล้านบาท และเมื่อหักสัดส่วนการส่งออกทางเรือ 25% แล้ว มูลค่าการสูญเสียจริงอยู่ที่ประมาณ 120,000 ล้านบาท หากสถานการณ์ยืดเยื้อนานถึง 10 ปี การส่งออกทางบกอาจสูญมูลค่ามากกว่า 2.43 ล้านล้านบาท แม้จะมีความหวังว่าการเจรจาและการประชุมระดับคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) อาจช่วยปลดล็อก แต่บรรยากาศปัจจุบันบ่งชี้ว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนเดิม
ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศไม่ได้จำกัดแค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังโยงถึงข้อพิพาทด้านอธิปไตย การอ้างสิทธิ์โบราณสถาน รวมถึงประเด็นวัฒนธรรมและประเพณี ซึ่งกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนทั้งสองฝ่ายจนเกิดกระแสชาตินิยมที่แรงขึ้น นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา เผยว่าผู้ประกอบการทั้งสองฝั่งต่างหวังให้เวทีเจรจาสามารถฟื้นการค้าชายแดน เพราะตั้งแต่การปิดด่าน 23 มิถุนายนที่ผ่านมา แม้บางจุดยังเปิดให้ผ่านได้แต่ก็ถูกจำกัดจนไม่ต่างจากปิดโดยสมบูรณ์ ทำให้มูลค่าการค้าลดลงอย่างหนัก ตัวเลขล่าสุดจากกรมการค้าต่างประเทศชี้ว่า การค้าชายแดนเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 10,908 ล้านบาท ลดลง 23% จากปีก่อน การส่งออกลดลง 24% เหลือเพียง 8,961 ล้านบาท ผู้ประกอบการต้องหันไปใช้เส้นทางเรือที่มีต้นทุนสูงและรองรับสินค้าได้น้อย
รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ข้อมูลว่า ด่านศุลกากรถาวรหลักทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ อรัญประเทศ คลองใหญ่ จันทบุรี ช่องจอม และช่องสะงำ มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 11,659 ล้านบาทต่อเดือน หรือราว 141,847 ล้านบาทต่อปี หากสถานการณ์ปิดด่านดำเนินไปตลอดปี 2568 จะกระทบ GDP ไทยราว 0.31% หรือคิดเป็น 69,952 ล้านบาท และแม้จะใช้เส้นทางทางเรือหรืออากาศแทน ก็ยังไม่สามารถชดเชยความเสียหายได้เต็มที่
ผลกระทบในมิติห่วงโซ่อุปทานชัดเจนขึ้น สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังกัมพูชา เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ยานพาหนะและชิ้นส่วน และเคมีภัณฑ์รวมมูลค่ากว่า 66,619 ล้านบาทได้รับผลกระทบโดยตรง ส่วนการนำเข้าจากกัมพูชา เช่น โลหะ มันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์โลหะ มูลค่ารวม 20,394 ล้านบาท ก็สะดุดเช่นกัน ทำให้ผู้ประกอบการทั้งสองฝั่งได้รับแรงกระแทกพร้อมกัน
ในพื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะภาคอีสานใต้ ผลกระทบชัดเจนมาก นายมงคล จุลทัศน์ ประธานอาวุโสหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี ระบุว่า เหตุการณ์นี้มีลักษณะคล้ายภัยสงคราม ความเชื่อมั่นหายไป ความสัมพันธ์อาจต้องใช้เวลา 10-15 ปีจึงจะฟื้น ขณะที่การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันลดลง ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งซบเซา ประชาชนบางส่วนอพยพออกจากพื้นที่ และยอดขายต่ำที่สุดในรอบสามปี
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจึงไม่เพียงแต่เป็นความท้าทายทางการเมืองและความมั่นคง แต่กำลังกัดกร่อนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และยิ่งยืดเยื้อ ความเสียหายก็จะลึกและยากต่อการฟื้นตัวมากขึ้น