ในปี 2567 ไทยสามารถส่งออกข้าวได้ถึง 9.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า สร้างรายได้รวมกว่า 225,656 ล้านบาท ซึ่งเป็นปริมาณส่งออกที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปี และมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 9 ล้านตัน สะท้อนถึงศักยภาพของไทยในตลาดโลกในช่วงที่ยังไม่มีปัจจัยลบจากภาวะภัยแล้งหรือการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2568 แนวโน้มกลับไม่สดใสเท่าเดิม กรมการค้าต่างประเทศและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดว่าการส่งออกข้าวทั้งปีจะอยู่ที่เพียง 7.5 ล้านตัน โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากการกลับมาส่งออกของอินเดีย ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดข้าวโลก และแนวโน้มผลผลิตข้าวของหลายประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลาย
ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่า ในเดือนมิถุนายน 2568 ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 678,845 ตัน ลดลงถึง 33.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าส่งออกลดลงถึง 41.1% อยู่ที่ 380.6 ล้านดอลลาร์ โดยยอดส่งออกข้าวของไทยหดตัวต่อเนื่องมาแล้วถึง 8 เดือนเต็ม ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม–มิถุนายน) 2568 ไทยส่งออกข้าวรวม 3.72 ล้านตัน ลดลง 27.3% จากปีก่อนหน้า และมีมูลค่าส่งออกรวม 2,258 ล้านดอลลาร์ ลดลง 32.3%
ในด้านตลาด แม้การส่งออกจะหดตัวโดยรวม แต่ยังมีตลาดที่ขยายตัว ได้แก่ สหรัฐ จีน แคนาดา ฮ่องกง และสิงคโปร์ ในขณะที่ตลาดอิรัก แอฟริกาใต้ เซเนกัล แคเมอรูน และญี่ปุ่น มียอดนำเข้าจากไทยลดลง
ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รายงานข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2568 ว่าการเพาะปลูกข้าวนาปีในฤดูกาล 2568/69 มีพื้นที่ประมาณ 61.95 ล้านไร่ ลดลงจากปีก่อน 0.12% แต่กลับมีผลผลิตรวมสูงถึง 27.23 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.81% โดยผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 440 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 1.15% จากปีก่อนหน้า ปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือสภาพอากาศที่เป็นปกติ ไม่มีฝนทิ้งช่วงหรืออุทกภัยเหมือนปีที่แล้ว ทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก ส่งผลให้ผลผลิตภาพรวมเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าผลผลิตจะออกมากที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน คิดเป็นกว่า 63% ของผลผลิตทั้งหมด
สำหรับข้าวนาปรัง ปี 2568 คาดว่าจะมีการเพาะปลูก 13.14 ล้านไร่ ผลผลิตรวม 8.59 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 654 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในทุกด้าน โดยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% เนื่องจากมีฝนตกมากในช่วงปลายปี 2567 ทำให้มีน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพียงพอต่อการเกษตร บางพื้นที่เกษตรกรสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ถึงสองรอบต่อปี
ด้านราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้ ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิในสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 15,375 บาท ลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนที่ 15,450 บาท หรือคิดเป็น 0.49% ขณะที่ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% เฉลี่ยตันละ 6,956 บาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 0.66%
ราคาส่งออกข้าวในตลาดโลกยังปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) มีราคาส่งออกเฉลี่ยที่ 1,058 ดอลลาร์ต่อตัน หรือประมาณ 34,099 บาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนทั้งในรูปดอลลาร์และเงินบาท ข้าวขาว 5% เฉลี่ยที่ 392 ดอลลาร์ต่อตัน หรือประมาณ 12,634 บาท เพิ่มขึ้น 0.51% ส่วนข้าวนึ่ง 5% เฉลี่ยอยู่ที่ 395 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 12,731 บาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน การค้าโลกยังต้องจับตาความเสี่ยงจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ หรือ Reciprocal Tariff ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งกำหนดอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศคู่ค้า โดยสินค้าส่งออกสำคัญอย่างข้าวหอมมะลิไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพราะตลาดสหรัฐยังคงเป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ของข้าวหอมมะลิจากไทยในปัจจุบัน