ลำไยจันทบุรีเดือดร้อนหนัก หลังจีนเข้มงวดตรวจสารซัลเฟอร์ ชาวสวนวอนรัฐเร่งเจรจาช่วยเหลือ

สถานการณ์การส่งออกลำไยไทยกำลังส่อเค้าปัญหา เมื่อทางการจีนออกมาตรการยกระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบสารซัลเฟอร์ตกค้างในลำไยนำเข้า ส่งผลให้ชาวสวนลำไยจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านการค้าขายและราคาตกต่ำ

นายอำนาจ จันทรส นายกสมาคมชาวสวนลำไยจังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้จีนจะตรวจสอบสารซัลเฟอร์เฉพาะในเนื้อลำไยเท่านั้น แต่ล่าสุดได้เปลี่ยนขั้นตอนใหม่ โดยนำทั้งเปลือกและเนื้อลำไยมาปั่นรวมกันเพื่อตรวจหาสารตกค้าง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการส่งออก เนื่องจากประเทศไทยมีการใช้กำมะถันหรือซัลเฟอร์ในการรมควันลำไยเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ทำให้ลำไยแทบทุกล็อตที่ส่งออกมีโอกาสถูกปฏิเสธมากขึ้นทันที มาตรการใหม่นี้จึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ราคาลำไยเริ่มร่วงลง ผู้ส่งออกหลายราย รวมถึงล้งรับซื้อลำไยในพื้นที่ เริ่มชะลอหรือหยุดการรับซื้อ เพราะกังวลว่าจะไม่สามารถผ่านการตรวจสอบจากฝั่งจีนได้

ปัญหาที่เกิดขึ้นสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อเกษตรกรในพื้นที่ เนื่องจากขณะนี้ลำไยในจังหวัดจันทบุรีมีผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วกว่า 300,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท หากไม่สามารถส่งออกได้ตามปกติ ย่อมทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ และกระทบต่อรายได้เกษตรกรในวงกว้าง

ด้านสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย–กัมพูชา ระบุว่า รัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงทูตเกษตรไทยประจำกรุงปักกิ่ง จำเป็นต้องเร่งเจรจากับทางการจีนอย่างเร่งด่วน เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวในฤดูกาลนี้ มิฉะนั้นเกษตรกรจำนวนมหาศาลในภาคตะวันออกจะได้รับผลกระทบโดยตรง และอาจลุกลามไปสู่ปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในพื้นที่ในระยะยาว

ในขณะที่จีนให้เหตุผลว่ามาตรการตรวจเข้มดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความปลอดภัยด้านอาหารและสุขภาพของผู้บริโภค แต่สำหรับเกษตรกรไทย การปรับเปลี่ยนวิธีตรวจสอบแบบเข้มข้นนี้ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่อาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขัน และยังไม่ทันมีมาตรการรองรับหรือการปรับตัวที่ชัดเจน