รัฐบาลอินเดียกำลังเร่งเดินหน้าเจรจาข้อตกลงทางการค้าครั้งสำคัญกับสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตั้งเป้าลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของอินเดียให้ได้เงื่อนไขที่ดีกว่าข้อตกลงที่เพิ่งบรรลุกับอินโดนีเซีย พร้อมพยายามปิดดีลให้ทันก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมที่จะถึงนี้
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียลงเหลือ 19% จากระดับเดิมที่ขู่ไว้ว่าจะสูงถึง 32% โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ให้สหรัฐฯ สามารถส่งออกสินค้าเข้าสู่อินโดนีเซียโดยปลอดภาษีนำเข้า ขณะที่อินโดนีเซียจะได้ลดภาษีนำเข้าสินค้าของตนเข้าสหรัฐฯ เช่นกัน ซึ่งถือเป็นการเปิดทางการค้าระหว่างกันแบบมีเงื่อนไขสมดุล
ในกรณีของอินเดีย แม้ทรัมป์จะกล่าวว่าข้อตกลงกับอินเดียจะอยู่ใน “ระดับเดียวกัน” กับอินโดนีเซีย และย้ำว่าสหรัฐฯ จะสามารถเข้าถึงตลาดอินเดียได้ แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายเจรจาของอินเดียกลับมองว่าอินเดียสมควรได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า โดยต้องการอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าอินโดนีเซีย และต่ำกว่า 20% ที่สหรัฐฯ เคยเสนอไว้สำหรับเวียดนาม ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเช่นกัน
คณะผู้แทนเจรจาของอินเดียซึ่งเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในช่วงสัปดาห์นี้ ได้เร่งผลักดันให้สหรัฐฯ พิจารณาข้อเสนอใหม่ โดยหวังว่าจะสามารถลดภาษีนำเข้าสินค้าของอินเดียให้เหลือต่ำกว่า 10% เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอินเดียมองว่า สหรัฐฯ อาจพิจารณาเพียงในฐานะประเทศศูนย์กลางส่งต่อสินค้า มากกว่าจะเป็นคู่ค้าเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวเช่นอินเดีย
Soumya Kanti Ghosh หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารแห่งรัฐอินเดีย ระบุว่า อินเดียต้องการเงื่อนไขที่สะท้อนถึงบทบาทที่แตกต่างของประเทศตนในภูมิภาค และมีเป้าหมายเจรจาให้ได้อัตราภาษีที่ต่ำกว่า 10% พร้อมยอมให้มีการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภทให้กับสหรัฐฯ โดยอินเดียได้เสนอแนวทางลดภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐฯ เหลือ 0% หากได้รับการตอบสนองในลักษณะเดียวกันจากฝั่งสหรัฐฯ
แม้ว่าอินเดียจะยังคงระมัดระวังในการเปิดตลาดให้กับสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณเปิดกว้างต่อการให้สัมปทานบางส่วนในกลุ่มสินค้าทางการเกษตร รวมถึงอาจพิจารณาสั่งซื้อเครื่องบินเพิ่มเติมจากบริษัท Boeing ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนที่สหรัฐฯ ต้องการ
ขณะที่อินเดียเร่งเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ท่าทีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์เองก็กำลังเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งแม้จะยังคงมีมาตรการควบคุมเข้มข้นในบางด้าน เช่น การจำกัดการดำเนินธุรกิจของบริษัท Huawei และการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนแทบทั้งหมด แต่ก็มีสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์กำลังลดระดับความขัดแย้งเพื่อปูทางสู่การจัดประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน
หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการผ่อนคลายดังกล่าวคือการที่รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้บริษัท Nvidia กลับมาจำหน่ายชิป H20 ให้กับตลาดจีนได้อีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายรายเคยยืนกรานว่าเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น ท่ามกลางความกังวลว่าการถอยทัพในบางจุดอาจทำให้ “เส้นแดง” ทางยุทธศาสตร์ที่เคยวางไว้กับจีนกลายเป็นเพียงเงื่อนไขที่ต่อรองได้
นักวิเคราะห์หลายรายจึงเริ่มตั้งคำถามต่อความแน่วแน่ในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ทรัมป์ดูเหมือนให้ความสำคัญกับการสร้างภาพความสำเร็จระยะสั้น มากกว่าการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่แท้จริง เช่น ความไม่สมดุลทางการค้าในระดับโลก ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจระยะยาวทั้งในสหรัฐฯ และนานาชาติ