เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซีย เปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น โดยทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในระดับกรอบเบื้องต้นเพื่อจัดทำข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนอย่างเป็นทางการภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคี และเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกของทั้งสองประเทศสามารถเข้าถึงตลาดของกันและกันได้มากกว่าที่เคยเป็นมา

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มทรูธโซเชียล เรียกข้อตกลงดังกล่าวว่าเป็น "ชัยชนะอันยิ่งใหญ่" สำหรับภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ บริษัทเทคโนโลยี เกษตรกร ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ ไปจนถึงภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยข้อตกลงนี้ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ฉบับที่รัฐบาลทรัมป์สามารถเจรจาให้สำเร็จก่อนถึงเส้นตายการเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคมนี้

อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันถูกเก็บภาษีศุลกากรจากสหรัฐในอัตรา 19% เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 20% อย่างไรก็ตาม ภายใต้ข้อตกลงล่าสุด อินโดนีเซียจะต้องดำเนินการยกเลิกนโยบายสำคัญหลายประการ เช่น การเก็บภาษีข้อมูลอินเทอร์เน็ต การตรวจสอบสินค้าสหรัฐก่อนขนส่ง ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐ และเป็นสาเหตุหนึ่งของดุลการค้าขาดดุลมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนหนึ่งที่ถือว่าเป็นความสำเร็จของฝั่งอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐคือ การที่อินโดนีเซียตกลงยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์สหรัฐสำหรับการส่งออกเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงเพิ่มเติมให้อินโดนีเซียยกเลิกข้อจำกัดด้านการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยเฉพาะแร่ธาตุสำคัญ พร้อมทั้งยกเลิกเงื่อนไขเรื่องการใช้ชิ้นส่วนท้องถิ่น (local content) สำหรับสินค้าที่จะส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา

ในแถลงการณ์ร่วมยังระบุว่า สหรัฐจะลดภาษีศุลกากรตอบโต้จากอัตราที่สูงลงมาอยู่ที่ 19% และยังอาจพิจารณายกเว้นภาษีเพิ่มเติมสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์บางรายการที่สหรัฐไม่มีการผลิตหรือไม่สามารถผลิตได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดเจาะจงในส่วนดังกล่าว

ทั้งสองประเทศยังตกลงจะหารือกันเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศที่สามเข้ามาใช้ช่องว่างจากข้อตกลงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับคู่สัญญาหลักอย่างสหรัฐและอินโดนีเซีย

ขณะเดียวกัน อินโดนีเซียยังแสดงความตั้งใจในการลดอุปสรรคสำหรับสินค้าอเมริกันเพิ่มเติม ด้วยการยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้าและข้อกำหนดเกี่ยวกับใบอนุญาต สำหรับสินค้าหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในสหรัฐ พร้อมทั้งยืนยันเข้าร่วมเวทีระดับโลกเพื่อหารือประเด็นปัญหาเรื่องการผลิตเหล็กส่วนเกิน และร่วมมือกับนานาชาติในการแก้ไขปัญหากำลังการผลิตเกินในภาคอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลกอย่างเป็นรูปธรรม