ไทยควรเดินเกมอย่างไร ในการเจรจาภาษี “ทรัมป์ดีล” กับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศกรอบการเจรจาการค้าต่างตอบแทนกับหลายประเทศ ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้า โดยของไทยอยู่ที่ 36% ก่อนที่ภายหลังจะมีการตกลงลดลงเหลือ 19% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน กรอบดังกล่าวจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเจรจาที่อาจเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ
แม้กรอบนี้ยังไม่ใช่ “ข้อตกลงจริง” แต่เป็นแนวทางเจรจาเบื้องต้นที่ทั้งสองฝ่ายจะใช้ในการกำหนดขอบเขตและเงื่อนไขหลัก ๆ ของการเปิดตลาด กฎถิ่นกำเนิดสินค้า และการปฏิรูประบบกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยตั้งเป้าจะเจรจาให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ก่อนเสนอให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 178 เพื่อให้มีผลทางกฎหมาย
ประเด็นสำคัญแรกคือ “การเปิดตลาด” ซึ่งกรอบเจรจาระบุว่าไทยจะลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% สำหรับสินค้ากว่า 99% ของรายการทั้งหมด เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างสองประเทศ ปัจจุบันกว่า 40% ของสินค้าสหรัฐฯ ที่ไทยนำเข้าอยู่แล้วได้รับอัตราภาษี 0% โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ส่วนสินค้ากลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบคือสินค้าการเกษตรบางประเภทที่แข่งขันกับสินค้าไทยได้โดยตรง จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการวางแผน “ทยอยเปิดตลาด” เพื่อลดแรงกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ ขณะเดียวกันยังต้องเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าคุณภาพจากต่างประเทศในราคาที่เป็นธรรม
ส่วนประเด็น “กฎถิ่นกำเนิดสินค้า” จะเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่มีผลต่อผู้ส่งออกไทยโดยตรง เนื่องจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า เพื่อป้องกันการใช้ช่องทางทางภาษีอย่างไม่ถูกต้อง สินค้าที่ต้องการใช้สิทธิ์ภาษีในอัตรา 19% จะต้องมีมูลค่าการผลิตในไทยมากกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ถือว่าเป็นสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทยอย่างแท้จริง นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการไทยอาจต้องปรับโครงสร้างการผลิตใหม่ เพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ และเตรียมระบบตรวจสอบเอกสารที่ชัดเจนมากขึ้น หากรัฐบาลสามารถเจรจาให้กฎนี้มีความยืดหยุ่น เหมาะสมกับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย จะช่วยลดภาระต้นทุนและเสริมความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกได้มาก
อีกส่วนหนึ่งที่มีผลระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทยคือ “การปฏิรูปกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ” ที่อาจต้องปรับให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของสหรัฐฯ เช่น การยกระดับมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย และการเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งหลายข้อถือเป็นสิ่งที่ไทยควรทำอยู่แล้ว แต่การเจรจาครั้งนี้จะเร่งให้เกิดการปฏิรูปเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่สังคมตั้งคำถาม เช่น การไม่เก็บภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทสหรัฐฯ หรือการเปิดเสรีการถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางข้อมูลและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ
ดังนั้น ในขณะที่การเจรจากำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงสำคัญ รัฐบาลควรเปิดเผยสาระสำคัญของการเจรจาให้ประชาชนและภาคเอกชนรับรู้มากขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เตรียมความพร้อมและเสนอข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ การสร้างความเข้าใจร่วมกันตั้งแต่ต้นจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและลดแรงต้านจากสังคมในภายหลัง
การเจรจาภาษี “ทรัมป์ดีล” จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขภาษีเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางหมากระยะยาวของเศรษฐกิจไทยในระบบการค้าโลก การรักษาสมดุลระหว่าง “การเปิดตลาด” กับ “การปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ” จะเป็นตัวชี้ชะตาว่า ไทยจะได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงใดจากข้อตกลงใหม่นี้ และจะสามารถใช้โอกาสนี้ผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตบนฐานที่มั่นคงได้จริงหรือไม่

