เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิญ จิ่ง ของเวียดนาม ได้ลงนามในหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ เลขที่ 113/CD-TTg ซึ่งมุ่งเน้นแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการส่งเสริมโลจิสติกส์และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเนื้อหาของหนังสือแจ้งดังกล่าวระบุถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ภายในระบบขนส่งทางน้ำ และเน้นย้ำการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดต้นทุนในภาคโลจิสติกส์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามในระยะยาว

นายกรัฐมนตรีระบุว่า เวียดนามมีศักยภาพสูงในด้านการขนส่งทางน้ำ ด้วยแนวชายฝั่งยาวกว่า 3,260 กิโลเมตร และระบบแม่น้ำที่สามารถใช้งานได้อีกประมาณ 42,000 กิโลเมตร ทำให้การขนส่งทางน้ำถือเป็นรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลประเมินว่าภาคส่วนนี้ยังไม่ได้รับความสำคัญและการลงทุนที่เพียงพอ ปัญหาที่พบ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่ล้าหลัง กองเรือที่มีขนาดจำกัด และการขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ

เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานภาครัฐในทุกระดับ รวมถึงกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะกระทรวงก่อสร้างซึ่งได้รับมอบหมายให้ทบทวนและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการเดินเรือและขนส่งทางน้ำ เพื่อเปิดทางให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้น โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ปี 2568 นอกจากนี้ ยังต้องปรับปรุงแผนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเน้นการพัฒนาเส้นทางขนส่งสายหลัก และจัดทำรายการโครงการลงทุนที่สำคัญในท่าเรือตามเส้นทางแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำแดง แม่น้ำไซง่อน และเส้นทางไก๋เม็ป-ทีวาย

ในด้านทรัพยากรทางการเงิน กระทรวงการคลังได้รับมอบหมายให้จัดสรรงบลงทุนสาธารณะในช่วงปี 2569-2573 ให้เหมาะสมกับโครงการสำคัญ รวมถึงพิจารณามาตรการภาษี ค่าธรรมเนียม และกลไกสนับสนุนสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมประสานกับบริษัทชั้นนำอย่าง Saigon Newport Corporation และ Vietnam National Shipping Lines เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาท่าเรือสำคัญและศูนย์ขนส่งทางน้ำภายในประเทศ

ด้านกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมมีภารกิจในการปรับปรุงกระบวนการจัดสรรพื้นที่และลดระยะเวลาในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าต้องกำหนดนโยบายส่งเสริมให้ภาคธุรกิจหันมาใช้การขนส่งทางน้ำมากขึ้น ส่วนกระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้รับคำสั่งให้ดูแลด้านความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในการดำเนินโครงการต่าง ๆ

ในระดับท้องถิ่น ประธานคณะกรรมการประชาชนของแต่ละจังหวัดและเมืองที่อยู่ภายใต้การบริหารโดยตรงของรัฐบาลกลาง จะต้องตรวจสอบและจัดสรรพื้นที่สำหรับโครงการโลจิสติกส์ พร้อมทั้งบูรณาการการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งทางน้ำ เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินงานทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรองนายกรัฐมนตรี เจิ่น ฮอง ฮา โดยมีสำนักงานรัฐบาลร่วมมือกับกระทรวงก่อสร้างเพื่อเร่งรัดและติดตามความคืบหน้า พร้อมรายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ เพื่อให้แนวทางการพัฒนานี้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้