เศรษฐกิจชะลอ–บริษัทไทยลดจ้าง เมื่อวัยทำงาน 30–40+ เริ่มไม่มั่นคง ต้องวางแผนเงินอย่างไรให้รอด

“รับสมัครงาน อายุไม่เกิน 35 ปี” คือข้อความที่ยังพบเห็นได้ทั่วไปในตลาดแรงงานไทย และกลายเป็นแรงกดดันเงียบๆ สำหรับคนทำงานจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่กำลังคิดจะเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนสายอาชีพ หลายคนเลือกจะอยู่ที่เดิมต่อ แม้ไม่พอใจงาน เพราะกลัวว่าหากออกไปแล้วจะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ยากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่ง วัย 30 ไปจนถึง 40 ปีขึ้นไป คือกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจระบบการทำงาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่องค์กรจำนวนไม่น้อยต้องการ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “อายุสำคัญไหม” แต่คืออายุที่มากขึ้นกำลังกลายเป็นความเสี่ยงในยุคเศรษฐกิจผันผวนหรือไม่ และเราควรเตรียมชีวิตอย่างไรเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนนี้

หากพิจารณาจากประกาศรับสมัครงานจำนวนมาก จะพบว่าการจำกัดอายุยังพบได้บ่อย โดยเฉพาะในตำแหน่งระดับปฏิบัติการหรือพนักงานทั่วไป อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าอายุอาจไม่ใช่ปัจจัยหลัก หากแต่เป็นเรื่องของทักษะ ความเชี่ยวชาญ และความต้องการของตลาดแรงงานในช่วงเวลานั้นมากกว่า

ข้อมูลจากรายงาน The Midcareer Opportunity ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD สะท้อนภาพที่น่าสนใจว่า เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โอกาสได้รับการจ้างงานมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะผู้สมัครตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป กลุ่มอายุที่นายจ้างมีแนวโน้มรับเข้าทำงานน้อยที่สุดคือช่วงอายุ 55–65 ปี ขณะที่วัย 45–54 ปี ก็เริ่มเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม กลุ่มอายุ 30–44 ปี กลับเป็นช่วงวัยที่นายจ้างต้องการมากที่สุด เนื่องจากถูกมองว่าสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ และนำประสบการณ์มาสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้ดีกว่าแรงงานที่อายุมากกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทำให้รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หลายบริษัทเริ่มลดการจ้างพนักงานประจำ หันไปใช้แรงงานสัญญาจ้าง พนักงานชั่วคราว หรือการจ้างงานแบบไม่เต็มเวลามากขึ้น ข้อมูลจากการสำรวจของ Jobsdb สะท้อนว่า สัดส่วนแรงงานรูปแบบดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่ตำแหน่งพนักงานประจำแบบดั้งเดิมลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังมีข่าวการเปิดโครงการเกษียณก่อนกำหนดหรือ Early Retire จากองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งบางโครงการเปิดรับตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกไม่มั่นคงของแรงงานวัยกลางคน และทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรไทยกำลังมองวัยทำงานกลุ่มนี้อย่างไร

เหตุผลที่ทำให้แรงงานวัย 40 ปีขึ้นไปอาจหางานใหม่ได้ยากขึ้น มักเกี่ยวข้องกับทัศนคติของนายจ้างต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ต้นทุนค่าจ้างที่สูงขึ้นตามอายุงาน ความท้าทายด้านโครงสร้างองค์กรที่หัวหน้ามักอายุน้อยกว่า และการที่แรงงานจำนวนมากยังอยู่ในงานลักษณะเดิมซ้ำๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เทคโนโลยีและ AI สามารถเข้ามาทดแทนได้ง่าย

แม้ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่แรงงานไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ควบคุมได้คือการเตรียมความพร้อมของตัวเอง โดยเฉพาะด้านการเงิน เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ การวางแผนการเงินตั้งแต่วันที่ยังมีรายได้ประจำจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การมีเงินสำรองฉุกเฉินเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับวัย 40 ปีขึ้นไปที่อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะได้งานใหม่ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวมากกว่าเดิม เงินสำรองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปี จะช่วยลดแรงกดดันและเปิดโอกาสให้ตัดสินใจเรื่องงานได้ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน การทบทวนแผนเกษียณก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินลงทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ จำเป็นต้องประเมินว่าเพียงพอกับเป้าหมายชีวิตหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มคิดถึงการเกษียณเร็ว การคำนวณค่าใช้จ่ายระยะยาวและผลกระทบจากเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

การลดภาระหนี้ให้น้อยที่สุดก่อนเข้าสู่วัยเกษียณก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้บริโภค หากสามารถจัดการให้หมดเร็วขึ้น จะช่วยให้มีสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นในวันที่รายได้ไม่แน่นอน

นอกจากการเงินแล้ว การลงทุนกับตัวเองผ่านการพัฒนาทักษะใหม่ยังเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคโนโลยี การเพิ่มทักษะที่ตลาดต้องการ หรือการสร้างรายได้ทางเลือก การเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ย่อมดีกว่ารอให้ถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงในวันที่ไม่มีทางเลือก

สุดท้าย แม้งานจะเป็นส่วนสำคัญของชีวิต แต่ “เงิน” คือเครื่องมือที่จะช่วยให้เรารับมือกับความไม่แน่นอนได้ดีขึ้น ต่อให้งานไม่เลือกเรา หากเราวางแผนการเงินไว้ดีพอ ชีวิตก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีและทางเลือก