ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนยันเศรษฐกิจไทยยังไม่มีสัญญาณของภาวะเงินฝืด แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในระยะสั้น แต่ยังไม่พบการหดตัวของราคาสินค้าในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ธปท. แสดงความกังวลว่าครึ่งหลังของปี 2568 อาจเริ่มเห็นแรงกระแทกจากสงครามการค้าโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อการลงทุนและภาคการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ
นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. ระบุว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การใช้นโยบายการเงินจะต้อง “ใช้ให้คุ้ม” และรอบคอบ โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.75% หากลดลงมากกว่านี้อาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าที่ควร เพราะปัจจัยหลักที่ฉุดเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องต้นทุนทางการเงิน แต่เป็นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่ยังไม่ฟื้น
“การลดดอกเบี้ยอาจไม่สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายหรือการลงทุนได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะเมื่อผู้คนยังไม่มั่นใจในอนาคต ต่อให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลงก็ไม่มีใครกล้าลงมือ” นายปิติกล่าว
ในทิศทางเดียวกัน นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน เปิดเผยว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าอาจยังไม่เด่นชัดในช่วงต้นปี แต่แนวโน้มจะรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี และอาจลากยาวถึงปี 2569 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวมถึงเอสเอ็มอีที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการผลิต
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และยังเห็นแรงส่งจากการส่งออกที่ฟื้นตัว ทำให้การขยายตัวยังดำเนินต่อได้ แต่ในระยะยาว ธปท. มองว่า หากไม่มีการปรับตัวเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจอาจเผชิญกับข้อจำกัดในการเติบโตต่ำกว่า 3%
นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยถูกกดดันจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการค้าโลก อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ และจีนสามารถตกลงเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน ถือเป็นสัญญาณบวกที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ชั่วคราว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
“แม้มาตรการผ่อนปรนภาษีจะช่วยลดความตึงเครียดได้ในระยะสั้น แต่ผลกระทบต่อ GDP ไทยยังไม่มากนัก ประมาณ 0.1% เท่านั้น” นางปราณีกล่าว พร้อมระบุว่า ต้องติดตามต่อว่าการเจรจาจะออกมาในทิศทางใด และไทยจะได้รับผลกระทบมากหรือน้อยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
กลุ่มที่น่าจับตามองคือกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงในการเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้านำเข้าอย่างเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งมีเอสเอ็มอีกว่าหลายแสนรายที่จ้างงานรวมกันนับล้านคน โดย ธปท. ระบุว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการจำนวนมากกำลังเผชิญความยากลำบาก และต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนทั้งในด้านการเงิน มาตรการป้องกันการสวมสิทธิ์ และการเข้าถึงตลาดใหม่
ในขณะที่นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. เสริมว่า แม้เงินเฟ้อจะปรับลดต่ำกว่ากรอบเป้าหมายชั่วคราวจากปัจจัยราคาน้ำมันและมาตรการรัฐ แต่ในภาพรวมยังไม่พบสัญญาณของเงินฝืด โดยเงินเฟ้อระยะกลางยังอยู่ที่ประมาณ 1.6% ซึ่งถือว่าอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%
สำหรับแนวนโยบายการเงินในระยะถัดไป ธปท. ย้ำว่าจะพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยปัจจุบันนโยบายยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถช่วยรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากภายนอกประเทศได้ในระดับหนึ่ง
ที่มา - khaosod