สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชุดนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ต่อเนื่องตลอดช่วงวันที่ 7–9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับแบบทรงตัว โดยเฉพาะตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets หรือ EM) ที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัวลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีที่อาจถูกเรียกเก็บกับสินค้าสำคัญอย่างยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 200% ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศ BRICS ก็อาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการถูกปรับเพิ่มภาษีนำเข้าอีก 10%
สำหรับประเทศไทย ข่าวร้ายชิ้นใหญ่คือการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันการคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ระดับสูงถึง 36% ในขณะที่ประเทศคู่ค้าหลายแห่ง โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น เวียดนาม ได้รับการปรับลดภาษีลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนสูง และอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดสหรัฐฯ
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า สถานการณ์นี้ถือเป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างในด้านการค้าระหว่างประเทศของไทย โดยเฉพาะเมื่อเวียดนามสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ให้ลดภาษีนำเข้าได้ ไทยจึงอาจต้องเผชิญกับแรงผลักให้หันไปพิจารณาการเจรจาในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ ไทยอาจต้องยินยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0% เพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ในอัตราภาษีที่ต่ำลง รวมถึงเปิดโอกาสให้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศบางกลุ่ม แต่ช่วยลดต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมอื่น และกระตุ้นการบริโภคในประเทศได้ในภาพรวม
การเจรจาทางเลือกนี้กำลังกลายเป็นประเด็นสำคัญ เพราะในกรณีที่ไทยสามารถตกลงกับสหรัฐฯ ให้ลดภาษีได้เหลือ 15-20% ผลที่ตามมาคือ GDP ของประเทศในปี 2568 มีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 1.1-1.4% โดยมีความเป็นไปได้ราว 30% แต่หากการเจรจาล้มเหลวและยังต้องแบกรับภาษีในระดับสูงที่ 21-28% GDP อาจขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ราว 1.0% หรือแทบไม่ขยายตัวเลย ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่ามีโอกาสเกิดขึ้นถึง 50%
ท่ามกลางบริบทของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ความเสี่ยงทางการค้าในลักษณะนี้ถือเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะกลาง ภาคเอกชนและภาครัฐจึงจำเป็นต้องมีการประเมินทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการเปิดตลาดให้สมดุลกับการรักษาเสถียรภาพภายในประเทศ ทั้งในแง่การคุ้มครองผู้ผลิตภายในประเทศ และการรักษาฐานการบริโภค ขณะที่การเสริมความแข็งแกร่งด้านการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) อื่นๆ ก็อาจเป็นแนวทางช่วยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และกระจายความเสี่ยงทางการค้าได้ในระยะยาว
ในช่วงเวลาที่ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้ การตัดสินใจของไทยในประเด็นดังกล่าว อาจมีผลต่อศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้