กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก ประเทศไทยกำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะศูนย์กลางคลังสินค้าและโลจิสติกส์ระดับโลก การย้ายฐานการผลิตและจัดจำหน่ายของนักลงทุนจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ตอบโจทย์ทั้งด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และมาตรฐานการให้บริการที่เทียบเท่าสากล การเติบโตของภาคโลจิสติกส์ไทยในครึ่งปีแรกของปีนี้สะท้อนศักยภาพอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ผู้ประกอบการรายใหญ่เร่งลงทุนขยายพื้นที่รับความต้องการที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง SCX Corporation บริษัทในเครือ SC Asset วางแผนลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาทในช่วงปี 2568–2572 และสามารถปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าได้แล้วกว่า 110,000 ตารางเมตรในครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้นถึง 260% จากปีก่อน โดยคาดว่าจะทะลุ 150,000 ตารางเมตรภายในสิ้นปีนี้ ความสำเร็จของโครงการ SCX Logistics Bangna Km.23 ที่ถูกเช่าเต็ม 100% ตั้งแต่เปิดตัว สะท้อนจุดแข็งในการดึงดูดลูกค้าหลากหลายสัญชาติและธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน โลจิสติกส์ การผลิต หรือดาต้าเซ็นเตอร์
ในเวลาเดียวกัน บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจคลังสินค้ามากว่า 60 ปี ได้เปิดตัว “พูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1)” บนพื้นที่กว่า 34,200 ตารางเมตร ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง ออกแบบตามมาตรฐานสากล พร้อมแนวคิด Green Warehouse เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนและ ESG รวมถึงแผนขยายอีกสองแห่ง รวมพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร ขณะที่ SINO Logistics Corporation เร่งเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากรในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังเกือบ 6,000 ตารางเมตร เพื่อตอบรับความต้องการจากกลุ่มยานยนต์และโลจิสติกส์นำเข้า–ส่งออก ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่เดิมจะทำให้มีคลังสินค้าปลอดอากรรวม 23,000 ตารางเมตรจากพื้นที่ทั้งหมด 33,000 ตารางเมตร
ปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่คลังสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดรวมกว่า 150,000 ตารางเมตร โดยกว่า 72% อยู่ในพื้นที่ EEC จากแรงขับของอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่หมุนเวียนรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภาคตะวันออก ภาคเหนือก็กำลังถูกยกระดับให้เป็นประตูการค้าสำคัญ ผ่านการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ของท่าเรือเชียงแสนและเชียงของ เพื่อเชื่อมโยงไทยเข้ากับจีนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอย่างไร้รอยต่อ
ข้อมูลระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนอยู่ที่ 5,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% จากปีก่อน ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 (CSP2) มีกำลังรองรับ 6 ล้านตันต่อปี มากกว่าท่าเรือเดิมถึง 10 เท่า แต่ยังใช้ศักยภาพไม่เต็มที่เพราะข้อจำกัดการเดินเรือในแม่น้ำโขง อย่างไรก็ดี การที่จีนอนุมัติให้ท่าเรือกวนเหล่ยในมณฑลยูนนานเป็นด่านนำเข้าผลไม้อย่างเป็นทางการเมื่อ 29 กรกฎาคม 2567 ถือเป็นการปลดล็อกสำคัญ ทำให้ผลไม้ไทยสามารถเดินทางตรงจากเชียงแสนสู่จีนโดยลดขั้นตอนทางพิธีการ คาดว่าปีนี้ปริมาณนำเข้าผลไม้ผ่านท่าเรือกวนเหล่ยจะสูงถึง 150,000 ตัน และแตะ 300,000 ตันในปี 2573 โดยทุเรียน มังคุด และลำไยครองสัดส่วนถึง 88% ของการส่งออกทั้งหมดจากภาคเหนือไปจีน
อำเภอเชียงของก็กำลังถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์หลายรูปแบบและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เชื่อมโยงการขนส่งทางถนน ทางน้ำ และในอนาคตคือทางรถไฟ การมาของรถไฟจีน–ลาวตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส เพราะสามารถลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 50% และย่นเวลาส่งผลไม้จากคุนหมิงสู่กรุงเทพฯ เหลือเพียง 55 ชั่วโมง ทำให้เส้นทางน้ำต้องปรับตัวไปเน้นสินค้าบางประเภทที่ได้เปรียบด้านต้นทุน
การเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์นี้ไม่เพียงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างงานและรายได้ให้ประชาชน ส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ และช่วยลดต้นทุนสินค้าให้ผู้บริโภค ขณะเดียวกัน แนวโน้มการสร้างคลังสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้พลังงานสะอาดก็สะท้อนถึงการพัฒนาที่คำนึงถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าการปลดล็อกศักยภาพเชียงแสนและเชียงของต้องเร่งเจรจากับจีนเพื่อยกเลิกข้อจำกัดสินค้าควบคุมอุณหภูมิ ปรับเวลาทำการด่านร่วมกับลาว และเร่งสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าที่เชียงของ รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของให้แล้วเสร็จตามแผน ควบคู่กับความร่วมมือจัดการแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน Cold Chain เพื่อรองรับสินค้าเกษตร
ด้วยทิศทางนี้ ไทยกำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ครบวงจรของภูมิภาค พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกและใช้โอกาสที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนอย่างยั่งยืน