น้ำท่วมภาคใต้เสียหายกว่า 40,000 ล้านบาทในเดือนเดียว หอการค้าไทยชี้กระทบท่องเที่ยวหนัก ฉุด GDP ปี 2568 เหลือ 1.9%
หอการค้าไทยเปิดเผยผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมใน 10 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนกว่า 2.19 ล้านคน หรือประมาณ 798,600 ครัวเรือน ได้รับความเดือดร้อน โดยจังหวัดสงขลาถูกกระทบมากที่สุด คิดเป็นราว 60% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาคือ นครศรีธรรมราช และพัทลุง ทั้งนี้แม้การประเมินความเสียหายที่ชัดเจนยังต้องรอข้อมูลเพิ่มเติม แต่รัฐบาลประเมินเบื้องต้นว่าน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายสูงถึง 500,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอุทกภัยครั้งรุนแรงเป็นอันดับสองของไทย รองจากมหาอุทกภัยปี 2554 ที่สร้างความเสียหายกว่า 1.4 ล้านล้านบาท

ในกรอบเวลาเพียงหนึ่งเดือน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า ความเสียหายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000–1,500 ล้านบาทต่อวัน รวมมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.22% ของ GDP โดยเป็นความเสียหายจากระบบเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก ทั้งกิจกรรมทางการค้า การเดินทาง การขนส่ง และการผลิตในหลายธุรกิจท้องถิ่น

ภาคที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือภาคท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายสูงประมาณ 22,000 ล้านบาท เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงไฮซีซันของจังหวัดท่องเที่ยวในภาคใต้ โดยเฉพาะหาดใหญ่ที่ปกติจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงพฤศจิกายนถึงมกราคม นอกจากนี้ธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร และโรงแรมจำนวนมากต้องปิดให้บริการชั่วคราว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ขาดรายได้และสภาพคล่องอย่างรุนแรง

ความเสียหายยังขยายไปถึงภาคเกษตรกรรมที่ประเมินไว้ราว 10,000 ล้านบาท และภาคการผลิตและสาธารณูปโภคอีกประมาณ 6,840 ล้านบาท สถานการณ์ยิ่งซ้ำเติมด้วยการย้ายการแข่งขันซีเกมส์จากสงขลามายังกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้จังหวัดสูญเสียโอกาสการสร้างรายได้ การใช้จ่ายของผู้มาเยือนกว่า 5,000 คน และกระทบต่อภาพลักษณ์ในระดับนานาชาติ

จากการสำรวจผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่พบว่า การฟื้นฟูอาจต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน เนื่องจากทรัพย์สินและสต็อกสินค้าเสียหายหนัก ขาดสภาพคล่อง และโครงสร้างพื้นฐานหลายส่วนยังใช้การไม่ได้ สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการมากที่สุดคือเงินเยียวยาแบบ “เงินสด” ไม่ใช่มาตรการเพิ่มภาระหนี้สิน จึงเสนอให้รัฐบาลเร่งอัดฉีดเงินชดเชยโดยตรง ควบคู่กับการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและจัดทีมฟื้นฟูพื้นที่โดยเร็ว

ผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้หอการค้าไทยปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 จาก 2% เหลือ 1.9% โดยแม้การส่งออกคาดว่าจะเติบโต 11.1% และการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 6.4% แต่การใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัวในไตรมาส 3 และปัญหาน้ำท่วมปลายปี ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวกว่าที่คาดไว้

สำหรับแนวโน้มปี 2569 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเหลือ 1.6% โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะช่วยประคองเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงด้านสภาพอากาศและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังสูง