ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมวอันดับ 2 ของโลก หลังตลาดสัตว์เลี้ยงทั่วโลกเติบโตแรงจากกระแสคนรักสัตว์ที่เพิ่มขึ้น สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มูลค่าการนำเข้าอาหารสุนัขและแมวทั่วโลกในปี 2567 สูงถึง 26,466.28 ล้านดอลลาร์ โดยมีเยอรมนีเป็นผู้นำเข้ามากที่สุด ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร โปแลนด์ และแคนาดา
ในด้านการส่งออก เยอรมนียังคงครองอันดับหนึ่ง ด้วยมูลค่า 3,282.69 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 12.3% ของการส่งออกโลก ส่วนไทยขึ้นมาอยู่อันดับสองด้วยมูลค่า 2,677.03 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นสัดส่วน 10% ของตลาดโลก โดยมีสหรัฐอเมริกา โปแลนด์ และฝรั่งเศสเป็นคู่แข่งสำคัญ
“พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการ สนค. เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอาหารสุนัขและแมวของไทยมีความมั่นคงและศักยภาพขยายตัวต่อเนื่อง ด้วยภาพลักษณ์ด้านคุณภาพและมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับ โดยการส่งออกช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 มีมูลค่า 1,685.74 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10.72% ตลาดหลักยังคงเป็นสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วน 32.4% หรือ 868.40 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวถึง 47% แม้ต้องเผชิญภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด 19%
ตลาดสำคัญรองลงมาคือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี และมาเลเซีย ขณะเดียวกันตลาดสหภาพยุโรปขยายตัวโดดเด่น 47% มูลค่า 349.58 ล้านดอลลาร์ โดยมีอิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์เป็นตลาดหลัก ส่วนอาเซียนและเอเชียตะวันออก เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และจีน ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดใหม่ในตะวันออกกลางและยุโรปตะวันออกถือเป็นโอกาสทางการค้าที่น่าจับตา
ความนิยมเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้นจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังและครอบครัวรุ่นใหม่ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนการมีบุตร รวมถึงเทรนด์การเลือกซื้อสินค้าเกรดพรีเมียมและอาหารเชิงฟังก์ชัน เช่น อาหารเสริมสุขภาพ สูตรสำหรับสัตว์สูงวัยหรือสัตว์ป่วย ล้วนหนุนการเติบโตของตลาด ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก หากไทยยังคงพัฒนาคุณภาพและสร้างความแตกต่างต่อเนื่อง ไม่เพียงจะรักษาตำแหน่งอันดับสอง แต่ยังมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกในอนาคตอันใกล้