สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยกำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่ หลังจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า การที่สหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีตอบโต้ไทยในอัตราสูงถึง 36% ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป จะส่งผลกระทบรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการผลิต
สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยในปี 2567 สัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีมากถึง 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งในเอเชีย จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลงทันที การส่งออกชะลอตัวจะส่งผลต่อเนื่องไปยังห่วงโซ่การผลิต ทั้งสินค้าในขั้นต้น ขั้นกลาง และสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งจะสะเทือนทั้งภาคแรงงาน การลงทุน และเศรษฐกิจภาพรวม
คาดการณ์เบื้องต้นระบุว่า หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราดังกล่าว อัตราการขยายตัวของการส่งออกไทยในปี 2568 อาจเหลือเพียง 0.5 – 1.5% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2 – 3% โดยมีค่ากลางที่ 1.0% หรือเท่ากับมูลค่าที่หายไปกว่า 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 153,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันประเทศคู่แข่งจะเร่งรุกตลาดที่ไทยเคยครองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักเดิมหรือตลาดใหม่ที่ไทยกำลังพยายามเจาะเข้าไป นอกจากนี้ หลายประเทศอาจเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และลดนำเข้าสินค้าจากไทย เพื่อรักษาดุลการค้า ซึ่งจะซ้ำเติมสถานการณ์ของผู้ประกอบการไทยในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
ในระยะกลางและยาว แนวโน้มการลงทุนอาจเปลี่ยนทิศ นักลงทุนอาจพิจารณาย้ายหรือกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีภาษีนำเข้าต่ำกว่า เพื่อบริหารความเสี่ยง ขณะที่ในระยะสั้น ธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ จะชะลอแผนการลงทุนลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากการวิเคราะห์ของกระทรวงพาณิชย์ พบว่าสินค้าที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง, สินค้าที่ถูกเก็บภาษีสูงตามมาตรา 232, สินค้าที่อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการทางภาษี และสินค้าที่สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ไปแล้ว
กลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง เช่น เฟอร์นิเจอร์ โคมไฟ เครื่องดนตรี เสื้อผ้าทั้งแบบถักและไม่ถัก กระเป๋าเดินทาง เครื่องจักรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น และสินค้าแปรรูปจากพืชผักและผลไม้ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เพราะพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนมากกว่า 28% ของการส่งออกรวม
ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีภายใต้กฎหมายมาตรา 232 เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ มีอัตราภาษีสูงถึง 50% และ 25% ตามลำดับ โดยปัจจุบันไทยมีมูลค่าสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรานี้กว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนกลุ่มที่อยู่ระหว่างการพิจารณาก็มีแนวโน้มจะถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า อลูมิเนียม เครื่องมือแพทย์ รวมถึงของเล่นและอากาศยาน
สำหรับกลุ่มสุดท้ายคือ “สินค้าดาวร่วง” ซึ่งไทยเริ่มเสียส่วนแบ่งตลาดไปแล้วในปีที่ผ่านมา เช่น สินค้าจากเหล็กกล้า วัตถุจากพืชใช้ถักสาน หรือเส้นใยจากพืชที่ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ
ในส่วนของความคืบหน้าการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีตอบโต้ ทางนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ว่า ฝ่ายไทยได้ส่งข้อเสนอฉบับปรับปรุงให้สหรัฐฯ พิจารณาแล้วกว่า 99.99% โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินของฝั่งสหรัฐฯ ภายใต้เงื่อนไขที่ไทยได้ปรับปรุงตามข้อเรียกร้องที่เฉพาะเจาะจง คาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้ หากสำเร็จ ไทยจะนำข้อตกลงดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการเสนอรัฐสภาพิจารณาเห็นชอบต่อไป
สถานการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการส่งออก หากแต่ยังชี้ชะตาทิศทางเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้