ท่ามกลางตัวเลขมูลค่าการค้าชายแดนที่พุ่งทะลุ 976,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 5.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ด่านพรมแดนที่เชื่อมต่อกับ สปป.ลาว กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการค้าระหว่างประเทศ ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 286,775 ล้านบาท เติบโตถึง 10.1% ภาครัฐจึงเดินหน้าผลักดันแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดด้านโลจิสติกส์ และยกระดับศักยภาพของภูมิภาคนี้ให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการขนส่งระดับภูมิภาค
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายใต้การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดนครพนม รัฐบาลได้ติดตามความคืบหน้าของโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นทางหลวงหมายเลข 223 ช่วงอำเภอนาแก–บ้านต้อง ที่จะเชื่อมต่อจังหวัดสกลนครกับนครพนม และขยายออกไปถึงสะพานมิตรภาพไทย–ลาวทั้งแห่งที่ 2 และ 3 ซึ่งจะกลายเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักของภูมิภาคในอนาคต โดยเป้าหมายคือเปิดให้บริการได้ในปี 2570
อีกหนึ่งโครงการสำคัญคือ “ถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี” ซึ่งเชื่อมสะพานมิตรภาพไทย–ลาว (แห่งที่ 2) กับพระธาตุพนม โครงการนี้นอกจากจะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติแล้ว ยังเป็นการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเลียบริมฝั่งโขงที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยตั้งเป้าเปิดใช้งานพร้อมกันภายในปี 2570 เช่นกัน
สำหรับการพัฒนาระบบราง โครงการรถไฟสายใหม่ “บ้านไผ่–นครพนม” กำลังอยู่ในขั้นตอนการเร่งจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่ เพื่อให้สามารถก่อสร้างและเปิดบริการได้ภายในกรอบเวลาเดียวกัน ซึ่งจะเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าทางราง เชื่อมโยงจากตอนในของประเทศไปยังชายแดน และข้ามสู่ลาว เวียดนาม จนถึงจีนตอนใต้
รัฐบาลยังผลักดันโครงการปรับปรุงเส้นทาง R12 ช่วงเมืองท่าแขก–ด่านนาเพ้าในลาว โดยขอความร่วมมือให้ สปป.ลาวใช้ผู้รับเหมาไทยในการก่อสร้าง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องด้านมาตรฐานและเร่งรัดการดำเนินงาน โครงการนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไทยแล้ว และถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ
ในด้านการคมนาคมทางอากาศ รัฐบาลไทยยังได้หารือกับกระทรวงต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์สนามบินสะหวันนะเขตในลาว ร่วมกับสายการบินต้นทุนต่ำของไทย เสริมการเดินทางระหว่างประเทศในราคาจับต้องได้ พร้อมเชื่อมโยงกับระบบขนส่งภาคพื้นดินแบบไร้รอยต่อ
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจคือความคืบหน้าของ “ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม” ซึ่งออกแบบให้เป็นจุดเชื่อมระบบรางและถนนแบบ Seamless logistics พร้อมพื้นที่ปฏิบัติงานร่วมของหน่วยงานตรวจปล่อยสินค้า (CCA) โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด้วยตนเอง พร้อมยืนยันว่าโครงการนี้เป็นไปตามแผน และสามารถเชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานรัฐ เช่น การรถไฟฯ กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รูปแบบโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชน (PPP) โดยมีเป้าหมายรองรับการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากไทย–ลาว–เวียดนาม–จีนตอนใต้ ผ่านเส้นทาง R12 และสายรถไฟทางคู่ในอนาคต พื้นที่ภายในศูนย์ยังถูกออกแบบให้รองรับการบริการแบบ One Stop Service ทั้งด้านศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และกักกันโรค โดยงานก่อสร้างภาพรวมคืบหน้าแล้วกว่า 95% และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568
สำหรับเอกชนผู้ร่วมลงทุนได้ก่อสร้างคลังสินค้าและศูนย์รวบรวมสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตั้งระบบบริหารจัดการ โดยผู้ร่วมลงทุนจะบริหารและรับความเสี่ยงทางรายได้ตามสัญญาสัมปทานแบบ PPP Net Cost นาน 30 ปี
เมื่อศูนย์แห่งนี้เปิดใช้งานเต็มรูปแบบ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของภาคขนส่ง ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และสร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันให้นครพนมกลายเป็น “ฮับโลจิสติกส์แห่งภาคอีสานตอนบน” ที่สามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้อย่างไร้รอยต่อ
ที่มา - bangkokbiznews