ปี 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ดำเนินมายาวนานถึง 50 ปี ตลอดช่วงเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างสองประเทศได้เบ่งบานในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ โดยมี “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น จากบทบาทผู้ส่งสารในอดีต สู่การเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ทรงพลัง

ในช่วงเวลาที่การสื่อสารยังไม่ไร้พรมแดนเช่นในปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการส่งต่อจดหมาย โปสการ์ด และพัสดุจากคนไทยเชื้อสายจีนถึงครอบครัวในแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสื่อแห่งความคิดถึงเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานของความไว้วางใจ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเศรษฐกิจโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและการค้าออนไลน์กลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ไปรษณีย์ไทยได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วและพัฒนาบทบาทสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งทางบกและทางอากาศ เชื่อมโยงไทย–จีนอย่างไร้รอยต่อ ระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งนี้ไม่ได้ตอบโจทย์เพียงแค่ผู้ส่งออกขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดจีนที่มีศักยภาพสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุการณ์สำคัญที่ตอกย้ำความสามารถในการปรับตัวของไปรษณีย์ไทยคือการกลับมาเปิดเส้นทางขนส่งสู่ประเทศจีนได้อย่างรวดเร็วหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงถึงศักยภาพด้านการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการไทยว่า ห่วงโซ่อุปทานจะไม่สะดุด และการส่งออกสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

หนึ่งในโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญคือปัญหาด้านโลจิสติกส์ในช่วง "ไมล์แรก" และ "ไมล์สุดท้าย" ไปรษณีย์ไทยได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ผ่านเครือข่ายจุดบริการกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ไม่ว่าผู้ประกอบการจะอยู่พื้นที่ใด ก็สามารถเข้าถึงบริการที่ได้มาตรฐานและเชื่อมต่อกับระบบขนส่งระหว่างประเทศได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง ThailandPostMart ที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชนสามารถเข้าสู่ตลาดออนไลน์ เชื่อมต่อกับระบบขนส่งของไปรษณีย์ไทยได้ครบวงจร ส่งเสริมให้สินค้าเกษตร ผลไม้สด ผลิตภัณฑ์แปรรูป และสินค้า OTOP ของไทย เดินทางไปถึงมือผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างสดใหม่และรวดเร็ว

นอกเหนือจากบทบาทในเชิงเศรษฐกิจ ไปรษณีย์ไทยยังสานต่อภารกิจการเป็น “ทูตวัฒนธรรม” ผ่านการจัดทำแสตมป์ที่ระลึก เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญและสื่อถึงมิตรภาพระหว่างสองชาติ ล่าสุดในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ได้จัดทำแสตมป์ชุดพิเศษ “50 ปี ไทย–จีน” ที่ออกแบบอย่างงดงาม โดยนำพญานาค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไทย และมังกร ตัวแทนของจีน มาผสานเป็นเลข 50 อย่างมีศิลปะ พร้อมองค์ประกอบทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่สะท้อนความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เช่น ภาพการเชิดสิงโต พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญในพระราชวังบางปะอิน และอาคารสถาปัตยกรรมจีน–โปรตุเกสในจังหวัดภูเก็ต

แสตมป์ชุดพิเศษนี้จึงไม่ใช่เพียงของสะสมหายาก หากแต่เป็นสื่อ Soft Power ที่ทรงพลัง ถ่ายทอดเรื่องราวของมิตรภาพข้ามพรมแดนได้อย่างลึกซึ้ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือที่ต่อเนื่องจากแสตมป์ชุดพิเศษในวาระครบรอบ 20 ปี และเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าบทบาทของไปรษณีย์ไทยนั้นลึกซึ้งกว่าที่หลายคนเคยมอง

การเดินทางตลอด 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย–จีน ภายใต้มุมมองของไปรษณีย์ไทย จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการส่งสารหรือขนส่งพัสดุ แต่คือการเชื่อมโยงผู้คน เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน ไปรษณีย์ไทยได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ที่พร้อมสนับสนุนทั้งการค้าและการสื่อสารวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค สู่การเติบโตอย่างมั่นคงในอีก 50 ปีข้างหน้า