4 เหตุผล บริษัททั่วโลกเร่งปลดคน: ลดต้นทุน – AI – เศรษฐกิจซบ – ปิดกิจการ ดันยอดเลย์ออฟสหรัฐทะลุ 1 ล้านตำแหน่งใน 10 เดือน
สถานการณ์การจ้างงานทั่วโลกกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ล่าสุดรายงานจากบริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas เปิดเผยว่า นายจ้างในสหรัฐประกาศ “ลดตำแหน่งงาน” สูงถึง 153,074 ตำแหน่งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราการเลิกจ้างสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม–ตุลาคม 2568) มีการปลดพนักงานรวมแล้วกว่า 1.09 ล้านตำแหน่ง เพิ่มขึ้นถึง 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมากกว่ายอดรวมการเลิกจ้างทั้งปี 2567 ที่อยู่ที่ 761,358 ตำแหน่ง สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่กำลังชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว
รายงานระบุว่า การปลดคนในเดือนตุลาคมมีสาเหตุหลักมาจาก 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การลดต้นทุน การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาแทนแรงงาน ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย และการปิดกิจการของบริษัทต่าง ๆ โดยการ “ลดต้นทุน” เป็นเหตุผลหลักที่ถูกอ้างมากที่สุด คิดเป็นกว่า 50,000 ตำแหน่งในเดือนเดียว ขณะที่ “AI” กลายเป็นปัจจัยลำดับสอง ที่ทำให้หลายบริษัทปรับโครงสร้างองค์กร และนำระบบอัตโนมัติมาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ ส่งผลให้มีการเลิกจ้างกว่า 31,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม และรวมแล้วกว่า 48,000 ตำแหน่งตั้งแต่ต้นปี
ส่วน “ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว” ทำให้มีการลดพนักงานเพิ่มขึ้นอีกกว่า 21,000 ตำแหน่งในเดือนเดียว รวมตั้งแต่ต้นปีมากกว่า 229,000 ตำแหน่ง ขณะที่ “การปิดกิจการ” ร้านค้า หน่วยงาน และโรงงานต่าง ๆ ส่งผลให้มีการปลดพนักงานกว่า 16,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม และรวมแล้วกว่า 161,000 ตำแหน่งตลอดทั้งปี นอกจากนี้ บริษัทยังมีการประกาศ “ปรับโครงสร้างองค์กร” มากกว่า 7,500 ครั้งในเดือนเดียว และรวมกว่า 108,000 ครั้งในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจทั่วสหรัฐกำลังเร่งปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
รายงานยังชี้ถึงอีกปัจจัยสำคัญที่เร่งกระแส “เลย์ออฟ” ในสหรัฐฯ คือโครงการ DOGE (Department of Government Efficiency) หรือ “กระทรวงประสิทธิภาพ” ที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ โครงการนี้นำไปสู่การลดการจ้างงานในหน่วยงานภาครัฐและผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องแล้วกว่า 293,000 ตำแหน่ง และอาจพุ่งแตะ 400,000 ตำแหน่งภายในสิ้นปี นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าหากรวมผลกระทบทางอ้อมจากการลดงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล DOGE อาจส่งผลกระทบต่อ “ตำแหน่งงานเกือบ 1 ล้านตำแหน่ง” ทั่วเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดย Usha Haley ศาสตราจารย์จาก Wichita State University เตือนว่า การปรับลดดังกล่าวจะส่งผลระยะยาวต่อภาครัฐอย่างถาวร ไม่ใช่เพียงการหยุดงานชั่วคราว
กระแสเลย์ออฟไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐฯ แต่ลามไปทั่วโลก ในสหราชอาณาจักร จำนวน “โครงการเลิกจ้างหมู่” เพิ่มขึ้นถึง 5% ภายในปีเดียว โดยข้อมูลจาก TWM Solicitors ระบุว่ามีโครงการเลิกจ้างหมู่รวมกว่า 3,700 โครงการ ส่งผลกระทบต่อพนักงานราว 267,800 คน ภาคการผลิตได้รับผลกระทบมากที่สุด เพิ่มขึ้นกว่า 12% หรือกว่า 630 โครงการ ขณะที่ภาครัฐ การศึกษา และสาธารณสุขมีการเสนอแผนเลิกจ้างเพิ่มขึ้นสูงถึง 19%
ในยุโรป สถานการณ์ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะเยอรมนีซึ่งกำลังเผชิญ “วิกฤติการเลิกจ้าง” ครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Volkswagen, Mercedes, Bosch, ZF, Porsche, Ford และ Audi ต่างทยอยลดจำนวนพนักงานลงอย่างต่อเนื่อง ผลการศึกษาของ EY ระบุว่า งานในอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนีกว่า 50,000 ตำแหน่งหายไปภายในเวลาเพียงปีเดียว
Volkswagen อยู่ระหว่างโครงการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยมีแผนลดพนักงานกว่า 35,000 ตำแหน่งทั่วโลก หนึ่งในสี่ของจำนวนนี้อยู่ในเยอรมนี และยังมีการลดค่าจ้างลงอีก 20% ขณะที่ Ford ได้ประกาศปิดโรงงานในเมืองซาร์หลุยส์ ซึ่งเคยมีพนักงาน 7,000 คน เหลือเพียงราว 1,000 คนเพื่อดูแลการปิดโรงงาน ส่วนโรงงานหลักในโคโลญจน์ที่มีพนักงานกว่า 11,000 คน ก็กำลังถูกพิจารณาลดจำนวนอย่างหนัก ด้าน Bosch ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของโลก ได้เริ่มแผนปลดพนักงานรวม 22,000 ตำแหน่ง โดยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 9,000 ตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว เป็นกว่า 13,000 ตำแหน่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนชัดว่า “การปรับโครงสร้างแรงงาน” กำลังเกิดขึ้นในวงกว้างทั่วโลก ทั้งจากแรงกดดันด้านต้นทุน เศรษฐกิจที่เปราะบาง และการเร่งนำเทคโนโลยี AI มาใช้แทนแรงงานมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงานโลกยุคใหม่.

