นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF แสดงความกังวลต่อแนวโน้มการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกา ภายในงานเสวนา “Trump’s Tariffs : ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภคจากการใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งในประเทศไทยห้ามใช้มาแล้วกว่า 30 ปี แต่ในสหรัฐฯ ยังคงอนุญาตให้ใช้สารดังกล่าวได้
แม้ว่ารัฐบาลอาจเปิดให้นำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ได้เพียงไม่เกิน 1% ของปริมาณการบริโภคภายในประเทศ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของเนื้อหมูนำเข้า โดยเฉพาะการป้องกันการปนเปื้อนของสารเร่งเนื้อแดงที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ CPF ยังแสดงความห่วงใยว่า หากมีการเปิดนำเข้าจริง อาจนำไปสู่การระบาดของ “หมูเถื่อน” ในตลาดไทยอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นภัยต่ออุตสาหกรรมหมูทั้งระบบ โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมูรายย่อยที่มีสัดส่วนกว่า 95% ของทั้งประเทศ
ประเทศไทยมีผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่ประมาณ 65% ส่วนที่เหลือคือเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มวิสาหกิจขนาดเล็ก ซึ่งมีความเปราะบางต่อการแข่งขันด้านราคาและมาตรฐานจากต่างประเทศ เนื่องจากระบบปศุสัตว์ในไทยพึ่งพาวัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้อุตสาหกรรมนี้มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร และไม่เคยมีประสบการณ์รับมือกับความเสี่ยงจากการนำเข้าที่อาจไม่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม CPF มองว่าการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในด้านอื่นยังมีแง่บวก โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองปลอดภาษีในช่วงนอกฤดูกาล ซึ่งไทยสามารถใช้โอกาสนี้ลดต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันไทยยังนำเข้ากากถั่วเหลืองจากบราซิลในอัตราภาษี 2% ดังนั้น การเปลี่ยนแหล่งนำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่ไม่เสียภาษี จะช่วยให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ส่งผลให้ราคาหมูและไก่ในประเทศปรับตัวดีขึ้น และช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์แปรรูปในตลาดโลก
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีโอกาสได้รับประโยชน์ทางอ้อมในเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีการเผาป่าในการเพาะปลูก อาจช่วยให้ไทยสามารถสะสมคาร์บอนเครดิตได้มากขึ้น โดยเฉพาะภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของยุโรป ซึ่งกำลังเป็นประเด็นสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ
นายประสิทธิ์ย้ำว่า การเปิดเสรีทางการค้ากับสหรัฐฯ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการรักษาสมดุลระหว่างความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศ และความมั่นคงของระบบอาหาร รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคในระยะยาว