แนวโน้มสถานการณ์ธุรกิจใน สปป.ลาวในปี 2568 พบว่าธุรกิจการท่องเที่ยว ขนส่ง และโลจิสติกส์ จากอานิสงส์รถไฟความเร็วสูง ตลอดจนภาคการเกษตรและเกษตรแปรรูปที่มีการขยายตัวอย่างมาก โดยส่งผลจีดีพีประเทศเติบโตในระยะ 5 ปี สร้างแรงกระเพื่อมต่อระบบเศรษฐกิจ สปป.ลาว มีทิศทางที่น่าลงทุน

สำหรับสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ JDB Bank (Joint Development Bank) ธนาคารร่วมพัฒนา ที่ปัจจุบันเป็นธนาคาร อันดับ 1ใน 3 ของ สปป.ลาว ประกาศปูพรม ทำการตลาดเชิงรุกรอบทิศทาง ในโอกาสครบรอบ 35 ปี มุ่งขยายการลงทุนสู่อาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มทุนไทยทั้งรายใหญ่ และเอสเอ็มอี ด้วยระบบ Digital Asset รวมทั้งยกระดับการให้สินเชื่อ สนับสนุน ให้คำปรึกษา เสริมสภาพคล่อง และสร้างแหล่งเงินทุน โดยตั้งเป้าเป็นธนาคารครบวงจร Banking Hubs แห่งภูมิภาคอาเซียน ภายใน 5 ปี

นายเอกะพัน พะพิทัก ประธานผู้ถือหุ้น ธนาคารร่วมพัฒนา หรือ JDB Bank (Joint Development Bank) เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจในลาว ปีนี้มีทิศทางสดใส อันจะเป็นการขยายโอกาสของนักลงทุนไทยที่จะมาทำธุรกิจใน สปป.ลาว โดยเฉพาะธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว และโลจิสติกส์ ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด จากอานิสงส์รถไฟความเร็วสูง จากการเปิดรถไฟ จีนและลาว ที่ขนส่งทั้งสินค้า และผู้โดยสาร

ทั้งนี้ ทำให้ JDB Bank วางกลยุทธ์รอบทิศทาง รับนักลงทุนไทย และอาเซียน รับวาระครบรอบ 35 ปีในปีนี้ โดยวางยุทธศาสตร์ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation ) เพื่อเชื่อมต่อง่ายด้วยระบบดิจิทัล โดยปัจจุบัน JDB Bank มีทั้งหมด 64 หน่วยบริการ รวมสำนักงานใหญ่ครอบคลุมทุกชายแดนของประเทศลาว ที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ไทย กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม

สำหรับผู้ประกอบการไทยมีโอกาสการลงทุนใน สปป.ลาว มีช่องว่างทำธุรกิจและขยายลงทุนได้อีกมาก เพราะประเทศลาวต้องพึ่งพิงสินค้าจากประเทศไทย โดยเน้นเชื่อมต่อเส้นทางการเงินเป็น Seamless cross-border transaction ให้คนไทยสแกนใช้จ่ายในประเทศลาวได้ ผ่านระบบ QR Code Alipay หรือ Unionpay เพื่อให้ชำระเงินสะดวกขึ้นที่เป็นบริการใหม่

รวมทั้งมีศูนย์แนะนำการลงทุน JDB Representative Office ประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ ชั้น 24 อาคาร เกษรทาวเวอร์ โดยนักลงทุนไทยขอคำปรึกษาด้านการเงิน การลงทุน หรือการดำเนินธุรกิจใน สปป.ลาว ได้

นายเอกะพัน ระบุว่า สำหรับ JDB Bank เป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของ สปป.ลาว ก่อตั้งปี 2522 ให้บริการทางการเงินแก่ภาคธุรกิจและประชาชน โดยปัจจุบันครบรอบ 35 ปี ตั้งเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้ามุ่งมั่นเป็นธนาคารดิจิทัลด้วย “นวัตกรรมที่ปลอดภัย คล่องตัว และยั่งยืน” และก้าวสู่การเป็น Banking Hubs ซึ่งเน้น 3 เสาหลักสำคัญ คือ

1.ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation ) ลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบายที่สุด ตั้งแต่บริการ Mobile Banking, AI-driven Financial Advisory ไปจนถึง Blockchain และระบบการชำระเงินที่ไร้รอยต่อ

2. การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) การเติบโตต้องไม่ใช่แค่เชิงปริมาณ แต่ต้องเป็นการเติบโตที่คำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางการเงินของลูกค้า โดยส่งเสริมลงทุน ESG (Environmental, Social, Governance) และสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน

3.เปลี่ยนจาก “ธนาคารที่ให้บริการทางการเงิน” เป็น “ที่ปรึกษาทางการเงิน” ของลูกค้า ด้วยการใช้ Big Data และ AI โดยเพิ่มฐานลูกค้าดิจิทัลขึ้น 50% พร้อมกับขยายบริการด้านสินเชื่อและการลงทุนที่ใช้ AI วิเคราะห์ความเสี่ยงได้แม่นยำ

ที่มา - bangkokbiznews