LEO เผยผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 ลดลง แต่ธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ยังเติบโตต่อเนื่อง
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยภาพรวมธุรกิจผ่านงาน Opportunity Day ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 โดยระบุว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 16.34 ล้านบาท ลดลง 52.27% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 34.22 ล้านบาท แม้ว่ารายได้รวมจะอยู่ในระดับ 1,024 ล้านบาท แต่บริษัทสามารถรักษาการเติบโตจากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2568 คาดว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นจากแรงหนุนของช่วงไฮซีซัน ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นอีกจุดท้าทายที่สะท้อนศักยภาพด้านกลยุทธ์ของผู้บริหารและองค์กร

ธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ยังคงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต โดยคาดว่ารายได้จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/2568 ไปจนถึงปี 2569 จากฐานลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตระยะยาวของบริษัท

ด้านธุรกิจ LEO Coldbotic ซึ่งเป็นศูนย์เก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะ รวมถึงคลังเก็บไวน์ควบคุมอุณหภูมิ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแรง และคาดว่าจะขยายตัวอย่างชัดเจนในไตรมาส 4/2568 จากปัจจัยฤดูกาลของสินค้าไวน์และจำนวกลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุน LEO JITU จะเริ่มรับรู้รายได้จากบริการ Power Bank ภายในไตรมาสเดียวกัน ซึ่งช่วยเสริมความหลากหลายและความยืดหยุ่นของพอร์ตธุรกิจ

สำหรับแผนปี 2569 บริษัทเตรียมขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในหลายประเทศ เพื่อเพิ่มเส้นทางขนส่งสู่ตลาดศักยภาพในเอเชียและยุโรป โดยบริษัทเชื่อว่าการพัฒนาเครือข่ายขนส่งทางรางจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะเส้นทางจีนตอนใต้และยุโรปผ่านรถไฟสายจีน–ลาว

LEO วางเป้าหมายเดินหน้าสร้างการเติบโตในธุรกิจโลจิสติกส์และนอนโลจิสติกส์ รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Green Logistics และการดำเนินงานแบบ ESG เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน พันธมิตรในประเทศจีนยังได้ตอบรับเชิงบวกต่อทิศทางธุรกิจใหม่ของบริษัท พร้อมยืนยันความร่วมมือที่เตรียมเริ่มดำเนินงานในปีหน้า ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของ LEO ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือการขนส่งไปจีนจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปริมาณงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอัตรากำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามสภาวะธุรกิจที่ขยายตัว

บริษัทมีแผนขยายธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามแดนและการขนส่งสินค้าระหว่างไทย–จีน เพื่อรองรับความต้องการจากกลุ่มอุตสาหกรรมการค้า การผลิต และอีคอมเมิร์ซ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญของบริษัทในช่วงปีต่อไป