สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 93.34 หดตัวลง 3.98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงการชะลอตัวของภาคการผลิตภายในประเทศ โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่เพียง 57.37% ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าครึ่งหนึ่งเล็กน้อย ปัจจัยหลักเกิดจากการผลิตรถยนต์ที่หดตัวอีกครั้ง ทั้งจากการหยุดผลิตเพื่อย้ายฐานโรงงานและการลดกำลังการผลิตรถยนต์สันดาปลงตามคำสั่งซื้อที่ลดลง

ในขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์เผยแพร่ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนกรกฎาคม พบว่ามีมูลค่า 28,580.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกันที่ 11% โดยสินค้าเกษตรกรรมขยายตัวโดดเด่น 21.5% ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวเล็กน้อย 0.2% ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมยังเติบโตได้ดี 14% สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญยังคงนำโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ รถยนต์ อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ผลไม้สดแช่แข็งหรือแห้ง เครื่องโทรศัพท์ เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ โดยตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 6,295.7 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม และรวม 7 เดือนแรกอยู่ที่ 39,707.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวสูงถึง 31.4% และ 30.1% ตามลำดับ

ด้านการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 28,258.6 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.1% โดยสินค้านำเข้าสำคัญประกอบด้วยเครื่องจักรไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องเพชรพลอยและทองคำ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ สินแร่และเศษโลหะ เครื่องคอมพิวเตอร์ รวมถึงเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว เดือนกรกฎาคมไทยยังเกินดุลการค้าเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม แม้การส่งออกจะขยายตัวสูงถึง 16.6% ในเดือนกรกฎาคม และสร้างสถิติการเติบโตต่อเนื่องยาวนานที่สุด แต่ต้องไม่ลืมว่าเดือนนี้เป็นเดือนแรกที่สหรัฐฯ เริ่มเรียกเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้ากับประเทศที่ได้ดุลการค้า รวมถึงไทยด้วย ส่งผลให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ เร่งนำเข้าสินค้าก่อนภาษีมีผลเต็มที่ ทำให้การส่งออกของไทยพุ่งแรง โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างแผงวงจรไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า และท่อเหล็กกล้า ซึ่งช่วยพยุงดัชนี MPI ให้ไม่หดตัวหนักกว่าที่เป็น

ทั้งนี้ ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่อัตรา 19% แม้ใกล้เคียงกับประเทศคู่ค้าอื่น แต่ย่อมทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาแพงขึ้น ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาท กลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่อาจทำให้คำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเริ่มชะลอตัวตั้งแต่เดือนถัดไป