โลจิสติกส์จีนเร่งปักธงอาเซียน “Cainiao” เดินหน้าลงทุนไทย ดันภูมิภาคเป็นศูนย์กลางขนส่งอีคอมเมิร์ซโลก

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการค้าโลก อาเซียนได้ก้าวขึ้นมาเป็นภูมิภาคยุทธศาสตร์สำคัญของจีน ทั้งด้านการผลิต การค้า และซัพพลายเชน โดยเฉพาะหลังการเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จีน ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, JD.com, Pinduoduo, Lazada หรือ Shopee ที่ผลักดันให้ความต้องการขนส่งข้ามพรมแดนเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ในห้วงเวลานี้บริษัทโลจิสติกส์จีนยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะ “Cainiao” ซึ่งเป็นแขนโลจิสติกส์ของอาลีบาบา ได้ขยายเครือข่ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง โดยไทยถูกวางบทบาทเป็นศูนย์กลางด้านยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงตลาด CLMV กับมาเลเซียและสิงคโปร์ ทำให้จีนมองเห็นโอกาสระยะยาวทั้งด้านการลงทุน การตั้งคลังสินค้า และการถ่ายทอดเทคโนโลยีขนส่งสมัยใหม่เข้ามาในภูมิภาค

เส้นทางของบริษัทโลจิสติกส์จีนในอาเซียนเริ่มเด่นชัดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2015–2017 เมื่อการเติบโตของอีคอมเมิร์ซจีนในตลาดต่างประเทศผลักดันให้ผู้ให้บริการขนส่งจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายคลังสินค้าและระบบขนส่งของตัวเอง Cainiao ซึ่งก่อตั้งในปี 2013 เริ่มปูพรมสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ขณะเดียวกัน JD Logistics ก็เริ่มจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในอาเซียนเพื่อรองรับธุรกิจข้ามพรมแดนที่ขยายตัวต่อเนื่อง

ช่วงปี 2018–2020 ถือเป็นจุดเร่ง หลังโควิด-19 กระตุ้นอีคอมเมิร์ซให้ขยายตัวครั้งใหญ่ กลยุทธ์รัฐจีนภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง รวมถึงความคืบหน้าของทางรถไฟจีน–ลาว–ไทย ทำให้บริษัทโลจิสติกส์จีนมีแรงผลักดันมากขึ้นในการขยายฐานในอาเซียน ยักษ์โลจิสติกส์อย่าง S.F. Express, YTO, ZTO และ Best Logistics ทยอยเข้ามาตั้งฐานในไทย พร้อมการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Shopee และ Lazada ที่ผลักดันปริมาณพัสดุในภูมิภาคให้เพิ่มขึ้นทุกปี

หลังปี 2021 การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคหลังยุคโรคระบาดยิ่งทำให้ตลาดขยายตัว Cainiao เปิด eWTP Hub ขนาดใหญ่ในมาเลเซีย พร้อมเพิ่มศักยภาพคลังสินค้าและศูนย์กระจายพัสดุในไทย การเปิดเดินรถไฟจีน–ลาวช่วยลดระยะเวลาขนส่งระหว่างจีน–ไทยเหลือเพียง 48–72 ชั่วโมง ขณะที่ฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนจำนวนมากย้ายฐานเข้ามาในเวียดนาม ไทย และมาเลเซีย ส่งผลให้ความต้องการด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคเร่งตัวตามไปด้วย

ในปัจจุบันผู้เล่นจีนที่โดดเด่นในอาเซียนและไทยประกอบด้วย Cainiao ซึ่งใช้ระบบคลังสินค้าอัจฉริยะและการคัดแยกพัสดุด้วย AI เชื่อมต่อเครือข่ายกว่า 200 ประเทศทั่วโลก S.F. Express ซึ่งเน้นขนส่งด่วนระดับพรีเมียมสำหรับสินค้ามูลค่าสูง และกลุ่ม J&T, BEST, YTO, ZTO ที่แข่งขันด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการสร้างเครือข่ายกว้างขวาง โดยเฉพาะ J&T Express ที่เติบโตในไทยอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้ประกอบการขนส่งรายย่อยจากจีนเองก็ขยายบริการผ่านเส้นทางรถไฟจีน–ลาว–ไทย ทำให้ต้นทุนขนส่งถูกลงอย่างมากและเข้าถึงธุรกิจรายย่อยในไทยได้ง่ายขึ้น

จุดแข็งที่ทำให้บริษัทจีนมีอิทธิพลมากเหนือคู่แข่งชาติอื่น คือเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ที่ล้ำหน้า การคัดแยกพัสดุอัตโนมัติ การวิเคราะห์เส้นทางด้วย AI และ Big Data รวมถึงโครงสร้างเครือข่ายยักษ์ใหญ่ในจีนที่เชื่อมต่อสะดวกสู่ภูมิภาค ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้การส่งสินค้าชิ้นเล็กจากจีนมายังไทยมีราคาถูกกว่าบริษัทท้องถิ่นหลายเท่า อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Lazada, AliExpress หรือ Temu ที่เลือกใช้ Cainiao เป็นโครงสร้างหลัก Shopee เองก็พึ่ง J&T และสายการบินจีนในการส่งออกสินค้า

ผลจากปริมาณพัสดุข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทจีนเร่งลงทุนสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติในไทย เช่น Smart Hub ของ Cainiao และศูนย์คัดแยกขนาดใหญ่ของ J&T เพื่อรองรับพัสดุที่เพิ่มขึ้นทุกปี เฉพาะตลาดอีคอมเมิร์ซไทยตอนนี้มีมูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เวียดนามแตะ 25,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าตัวเลขเมื่อปี 2019 ถึงเกือบสี่เท่า

นอกจากนี้บริษัทจีนยังเข้าไปทำงานร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่นโดยตรง ตัวอย่างเด่นคือความร่วมมือระหว่าง Cainiao กับบริษัทไปรษณีย์เวียดนามที่ช่วยยกระดับศูนย์คัดแยกทางตอนใต้ ความสามารถในการคัดแยกพัสดุเพิ่มจาก 15,000 เป็น 72,000 ชิ้นต่อชั่วโมง ขณะที่ในไทย Cainiao ทำงานร่วมกับ CP AXTRA ผู้ดำเนินธุรกิจ Makro และ Lotus’s เดิมทีพนักงานจัดสินค้าออนไลน์ทำได้เพียง 5 ออเดอร์ต่อวัน แต่หลังนำระบบดิจิทัลและการจัดเรียงสินค้าด้วย AI เข้ามา ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 12 ออเดอร์ต่อวัน และจำนวนออเดอร์ที่จัดส่งได้ต่อวันเพิ่มจาก 15,000 เป็น 100,000 ออเดอร์ ระบบดังกล่าวถูกปรับให้เหมาะกับร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ของไทยโดยเฉพาะ โดยทีมงาน Cainiao ลงพื้นที่กว่า 30 คนเพื่อพัฒนาระบบร่วมกันภายในไม่กี่เดือน

การเติบโตของ Cainiao และบริษัทจีนอื่นๆ จึงไม่ใช่เพียงการส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ แต่เป็นการส่งออก “ระบบปฏิบัติการธุรกิจ” ทั้งชุด ตั้งแต่คลังสินค้าอัจฉริยะ การจัดการซัพพลายเชน การจัดส่งระยะสุดท้าย ไปจนถึงเทคโนโลยี AI ที่ถูกฝังเข้าไปในระบบค้าปลีกของประเทศต่างๆ ในอาเซียน การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ให้แก่ภูมิภาค และในระยะยาวอาจทำให้บริษัทจีนกลายเป็นผู้กำหนดมาตรฐานสำคัญของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และค้าปลีกในอาเซียน

การบุกอาเซียนของ “กองทัพโลจิสติกส์จีน” จึงไม่ใช่เพียงการขยายธุรกิจ แต่เป็นการวางรากฐานใหม่ของซัพพลายเชนระดับภูมิภาค และกำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์การแข่งขันในไทยและเพื่อนบ้านอย่างถาวร