นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 2568 ถือเป็น "ปีทอง" ของธุรกิจการขนส่งทางอากาศของไทยอย่างแท้จริง ทั้งในแง่ผลประกอบการและผลกำไรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศโลกในปีนี้จะมีรายได้ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำกำไรรวมได้ถึง 3.66 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จำนวนผู้โดยสารทั่วโลกจะเกินกว่า 5.2 พันล้านคน และปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศจะพุ่งสูงถึง 72.5 ล้านตัน สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนโอกาสอันสดใสที่ธุรกิจการขนส่งทางอากาศไทยจะสามารถเติบโตเคียงข้างอุตสาหกรรมโลกได้อย่างแข็งแกร่ง

ในประเทศไทย ธุรกิจการขนส่งทางอากาศยังคงมีผู้เล่นในตลาดไม่มากนัก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและต้องรักษามาตรฐานการบริการให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบินสากล ข้อมูลพบว่าในช่วงปี 2565 มีการจัดตั้งนิติบุคคลใหม่เพียง 4 ราย ก่อนจะขยับเพิ่มเป็น 9 รายในปี 2566 แล้วลดลงเหลือ 7 รายในปี 2567 ส่วนในปี 2568 ช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม มีการจัดตั้งใหม่เพียง 1 รายเท่านั้น ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้มีมูลค่ารวมกว่า 7,146 ล้านบาท คิดเป็น 13.36% ของการลงทุนทั้งหมด โดยนักลงทุนหลักมาจากจีน สวิตเซอร์แลนด์ และมาเลเซีย

เมื่อพิจารณาผลประกอบการย้อนหลังสามปี (2564-2566) ธุรกิจขนส่งทางอากาศไทยมีผลประกอบการเฉลี่ยปีละ 268,962 ล้านบาท และทำกำไรเฉลี่ยปีละ 56,424 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแรงหลังจากวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบหนักในปี 2563 โดยเฉพาะในปี 2566 ที่ผลประกอบการรวมพุ่งทะยานขึ้นถึง 371,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 51% จากปีก่อนหน้า และทำกำไรได้สูงถึง 73,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 185% จากปี 2565 ปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการเติบโต นอกจากการฟื้นตัวของการเดินทางและการเปิดประเทศแล้ว ยังมีแรงผลักดันจากตลาด e-Commerce ที่ส่งผลให้การขนส่งสินค้าทางอากาศได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งทางอากาศจำนวน 141 ราย รวมทุนจดทะเบียนกว่า 53,498 ล้านบาท ส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัทจำกัด รองลงมาคือห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด โดยบริษัทมหาชนแม้จะมีจำนวนน้อยที่สุด แต่มีสัดส่วนทุนจดทะเบียนสูงที่สุดถึงกว่า 80% ของมูลค่ารวม

จากข้อมูลของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย พบว่าในปี 2567 ไทยมีจำนวนผู้โดยสารเดินทางทางอากาศถึง 141 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนหน้า ขณะที่จำนวนเที่ยวบินอยู่ที่ 886,438 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12% และปริมาณขนส่งสินค้าทางอากาศเพิ่มขึ้นกว่า 22% อยู่ที่ 1.51 ล้านตัน ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเติบโต ได้แก่ การเปิดประเทศ การยกเว้นวีซ่าในหลายประเทศ และการขยายตัวของตลาด e-Commerce ที่ยังคงแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ธุรกิจการขนส่งทางอากาศไม่ได้มีความสำคัญแค่ในเชิงการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอีกด้วย ประเทศไทยตั้งเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค และเลื่อนอันดับในตลาดการบินโลกจากอันดับ 19 ในปัจจุบัน ขึ้นสู่อันดับที่ 9 ภายในปี 2576 ซึ่งต้องอาศัยการเสริมความแข็งแกร่งในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการสนามบิน การเพิ่มศักยภาพสายการบินสัญชาติไทย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างฮับการบินที่เน้น ESG และการออกแบบระบบการบินที่ยืดหยุ่น รองรับความเสี่ยงจากปัญหา Disruption ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งภาครัฐและเอกชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นี้ ภาครัฐต้องเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งสนามบิน ทางวิ่ง และระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ ขณะที่ภาคเอกชนต้องยกระดับบริการ เพิ่มความแข็งแกร่งของสายการบินสัญชาติไทย และขยายเครือข่ายเที่ยวบินตรงให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นและการวางกลยุทธ์ระยะยาวที่ชัดเจนจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค และรักษาความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมขนส่งทางอากาศท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในอนาคต

ที่มา - kaohoon