ภาคโลจิสติกส์ของไทยยังคงเดินหน้าขยายตัวต่อเนื่อง โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) รายงานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์รวมกว่า 45,600 ราย โดยในเดือนมีนาคม 2568 มีการเปิดกิจการใหม่ถึง 300 ราย เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน การปิดกิจการมีเพียง 33 ราย ลดลงถึง 26.7% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของความเชื่อมั่นและการฟื้นตัวในภาคขนส่ง

หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่เติบโตโดดเด่นที่สุดคือ “การขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร” ซึ่งมีการจดทะเบียนใหม่มากที่สุดถึง 165 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 19.6% แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเดินทางและการขนส่งที่กลับมาคึกคักอีกครั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ด้านการลงทุนจากต่างชาติในภาคโลจิสติกส์ก็ไม่น้อยหน้า โดยเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้กว่า 2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของการลงทุนในภาคโลจิสติกส์ทั้งหมดในประเทศไทย โดยนักลงทุนหลักมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส จีน กัมพูชา สิงคโปร์ และไต้หวัน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค

ขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านก็เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเชื่อมโยงภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น จีนเตรียมเปิดใช้งานด่านโหย่วอี้กวนแบบอัจฉริยะในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับรถบรรทุกข้ามแดนได้ถึง 3,000 คันต่อวัน และลดต้นทุนการขนส่งสินค้าต่อเที่ยวลงกว่า 1,000 หยวน อีกทั้งยังดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ระยะทางระหว่างฮานอยและหนานหนิงลดเหลือเพียง 1 วัน

ส่วนกัมพูชา ก็ไม่หยุดนิ่ง ล่าสุดประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อระบบขนส่งความเย็น (Cold Chain) ระหว่างท่าเรือเกาะกงกับฝางเฉิงก่างของจีน โดยลดระยะเวลาขนส่งสินค้าสดลงมากกว่าครึ่ง เหลือเพียง 7 วัน และประหยัดต้นทุนกว่า 20% ซึ่งถือเป็นอีกก้าวของภูมิภาคในการพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพสูง

อีกด้านหนึ่งของโลก อียิปต์ก็เตรียมเปิดตัวคลองสุเอซโฉมใหม่ภายในปี 2568 รองรับแนวโน้มการคลี่คลายความตึงเครียดในทะเลแดง โดยคลองสุเอซใหม่นี้จะเสริมบริการต่างๆ เช่น ซ่อมบำรุงเรือ เติมเชื้อเพลิง เปลี่ยนลูกเรือ และการจัดการขยะ รวมถึงขุดลอกและขยายช่องทางเดินเรือในบางช่วง เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับเรือขนส่งจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวจากฝั่งสหรัฐฯ ยังคงสร้างแรงกระเพื่อมต่อระบบโลจิสติกส์ทั่วโลก โดยการใช้มาตรการ “ภาษีตอบโต้” กับหลายประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตภายในของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และกระทบต่อค่าครองชีพของชาวอเมริกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลโดยตรงต่อภาคบริการโลจิสติกส์ เช่น ตัวแทนศุลกากร ที่ต้องแบกรับภาระจากขั้นตอนเอกสารและข้อกำหนดที่ยังไม่มีความชัดเจน

แผนล่าสุดของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าเทียบท่าจากเรือจีน รวมถึงการควบคุมแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลโลจิสติกส์ อาจส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งผ่านท่าสหรัฐฯ สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

ในด้านของไทย ข้อมูลจากแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์ของ สนค. เผยว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในปี 2567 อยู่ที่ 2.62 ล้านล้านบาท โดยการขนส่งทางเรือมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 61.29% ตามด้วยการขนส่งทางอากาศที่ 37.17% สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของระบบโลจิสติกส์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

แม้โลกจะเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านการค้าและนโยบาย แต่ภาคโลจิสติกส์ของไทยยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความยืดหยุ่นในการปรับตัว สร้างโอกาสใหม่ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ที่มา - thansettakij