ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวเพียง 1.5% ใกล้เคียงกับประมาณการเดิม แม้จะมีความหวังว่าการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้จะประสบผลสำเร็จก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม แม้การเจรจาจะได้ผลในบางส่วน อัตราภาษีของไทยก็ยังคงสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้สินค้าไทยยังเสียเปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ จะเริ่มส่งผลชัดเจนขึ้น
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การเร่งส่งออกสินค้าล่วงหน้า (front-loading) ก่อนการเก็บภาษีใหม่ ทำให้ภาพรวมการส่งออกช่วงต้นปีดูแข็งแกร่ง แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี สินค้าหลายรายการ โดยเฉพาะสินค้าที่ถูกเก็บภาษีแบบเฉพาะราย (specific tariffs) เริ่มถูกกระทบหนักขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีแนวโน้มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ให้แก่ประเทศในอาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีอัตราภาษีตอบโต้ต่ำกว่าไทย
SCB EIC ยังเตือนว่า ไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ใช้ "สินค้าสวมสิทธิ" เช่นเดียวกับกรณีของเวียดนาม ซึ่งทำให้ต้นทุนการค้าสูงขึ้น ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้นกับสินค้าส่งออกจากไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีสัดส่วนการนำเข้าสูง ซึ่งจะกระทบผู้ผลิตในหลายอุตสาหกรรมที่พึ่งพาชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ
ในกรณีเลวร้ายที่สุด หากการเจรจากับสหรัฐฯ ล้มเหลว และสหรัฐฯ คงอัตราภาษีตอบโต้ไทยไว้ที่ 36% เท่าเดิม ในขณะที่คู่แข่งอย่างเวียดนามถูกเก็บในอัตราต่ำกว่ามาก (ราว 20%) SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้เพียง 1.1% และอาจลดลงเหลือเพียง 0.4% ในปี 2569 จากผลกระทบของการส่งออกที่หดตัวลงต่อเนื่อง รวมถึงแรงลงทุนจากภาคเอกชนที่อ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเจรจา ก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวสูงอย่างสุกร ไก่เนื้อ และข้าวโพด ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าสหรัฐฯ มาก หากไทยต้องเปิดเสรีสินค้าเหล่านี้ จะกระทบเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานอย่างกว้างขวาง จึงจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องมีมาตรการรองรับและช่วยเหลือการปรับตัวของภาคการผลิตภายในประเทศอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งพิจารณาประเด็นความมั่นคงทางอาหารควบคู่กันไป
แม้เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีสัญญาณฟื้นตัวบางส่วน เช่น เศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวเกินคาดในไตรมาสที่ 2 ที่ 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากแรงส่งของการส่งออกไปยังอาเซียนและยุโรป แต่สหรัฐฯ กลับมีแนวโน้มชะลอการนำเข้า โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเริ่มลดลงจากระดับปกติ หลังจากมีการเร่งนำเข้าล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ส่งผลให้ภาพรวมการค้าโลกยังคงเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หลังสหรัฐฯ เร่งกระบวนการเจรจากับคู่ค้ารายใหญ่หลายประเทศ โดยมีการส่งหนังสือแจ้งอัตราภาษีตอบโต้ล่วงหน้า (Reciprocal tariffs) ที่จะเริ่มมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม และกำลังพิจารณาขยายรายการสินค้าที่จะเก็บภาษีเฉพาะรายเพิ่มเติม เช่น ทองแดง ยา และเซมิคอนดักเตอร์ ภายในสิ้นปีนี้
ในด้านนโยบายการเงิน แม้ว่าธนาคารกลางหลายประเทศยังคงท่าทีผ่อนคลาย แต่ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้ารอบใหม่จะส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่มีสัญญาณเร่งปรับลดดอกเบี้ยในไตรมาส 3 เนื่องจากตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง และผลของภาษีต่อเงินเฟ้อยังไม่ชัดเจน ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ เนื่องจากกำแพงภาษีอาจกดดันค่าจ้างและชะลอวัฏจักรเงินเฟ้อ
สำหรับไทย SCB EIC คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่อ่อนแรง หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่คืบหน้า หรือเกิดแรงกระแทกใหม่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยจะเผชิญแรงกดดันด้านลบเพิ่มขึ้น และอาจทำให้ กนง. ต้องลดดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้
สถานการณ์ในช่วงเวลานี้จึงเป็นจุดชี้ขาดสำคัญของทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ การลงทุน และความสามารถในการรับมือกับแรงกระแทกจากนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา