ปี 2568 กำลังเป็นปีที่ท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมข้าวไทย เมื่อรายงานล่าสุดจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) เผยว่า ผลผลิตข้าวโลกปีนี้กำลังพุ่งสู่จุดสูงสุดใหม่ที่ 535.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเกือบ 3% จากปีก่อน และเป็นปีที่ 9 ติดต่อกันที่ตัวเลขการผลิตทำลายสถิติเดิม

แรงขับหลักมาจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย กัมพูชา บราซิล และเวเนซุเอลา โดยเฉพาะอินเดียที่มีการเพิ่มสต๊อกสูงสุดถึง 1.5 ล้านตัน ขณะที่จีนยังคงครองแชมป์ประเทศที่มีปริมาณข้าวสำรองสูงสุดในโลกถึง 103.5 ล้านตัน หรือคิดเป็นกว่า 56% ของสต๊อกโลก

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภาพชัดว่า ตลาดข้าวโลกกำลังเข้าสู่ภาวะ “ล้นโกดัง” อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลต่อปริมาณการค้าโลกที่คาดว่าจะลดลงเหลือ 59.7 ล้านตันในปี 2025 จาก 59.9 ล้านตันในปีก่อนหน้า ทั้งยังส่งผลให้ไทย ซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญ อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการแข่งขันมากขึ้น

หนึ่งในตลาดที่เคยเป็นความหวังอย่างอินโดนีเซีย ซึ่งเคยนำเข้าข้าวจากไทยมากถึง 3 ล้านตันต่อปี ขณะนี้เริ่มชะลอการนำเข้าอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเพียง 800,000 ตัน เนื่องจากปริมาณสต๊อกภายในประเทศที่พุ่งสูง บวกกับราคาข้าวไทยที่สูงกว่าคู่แข่งในอาเซียน เช่น เวียดนามและกัมพูชา ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ไม่เพียงแต่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามเองก็เริ่มขยับบทบาทในตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามที่นำเข้าข้าวจากกัมพูชาเพื่อนำไปแปรรูปและส่งออกต่ออีกทอดหนึ่ง ทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นสมรภูมิที่การแข่งขันเข้มข้นกว่าที่เคย

สำหรับไทย รายงานคาดการณ์ว่าการส่งออกข้าวในปี 2025 จะลดลงมาอยู่ที่ 7 ล้านตัน ลดลงประมาณ 5 แสนตัน หรือราว 29.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่อินเดียคาดว่าจะส่งออกเพิ่มเป็น 24 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 33.9% ด้านปากีสถานและกัมพูชา แม้จะมีการชะลอตัวเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถรักษาระดับการส่งออกไว้ได้ในระดับสูง

ปัญหาที่ซ้อนอยู่ไม่ใช่แค่เรื่องของผลผลิตหรือราคาที่แข่งขันลำบากเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความสามารถในการปรับตัวของระบบเกษตรกรรมไทย โดยเฉพาะเมื่อชาวนาไทยกว่า 18 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 25% ของประชากรประเทศ ยังคงต้องพึ่งพาข้าวเป็นรายได้หลัก

ในแง่ของนโยบาย รัฐบาลไทยเริ่มมองเห็นแนวทางใหม่ เช่น การส่งเสริม “ศูนย์ข้าวชุมชน” เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพราคาภายใน และกระจายอำนาจการจัดการสต๊อกให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับกลยุทธ์รับมือกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “ข้าวไทยจะแพงเกินไปหรือไม่?” แต่คือ “ไทยจะอยู่ตรงไหนในตลาดโลกที่ข้าวกลายเป็นสินค้าล้นตลาด?” และภาครัฐจะวางหมากอย่างไร เพื่อให้ชาวนากลับมาเป็นผู้เล่นที่ได้เปรียบในเกมที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป