ญี่ปุ่นทุ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 21.3 ล้านล้านเยน สู้เงินเฟ้อ–พยุงค่าเงินท่ามกลางแรงกดดันการเมืองและความตึงเครียดทางการทูต
คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 21.3 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งเงินอุดหนุนด้านพลังงานและการลดหย่อนภาษี เพื่อบรรเทาผลกระทบของเงินเฟ้อต่อครัวเรือนและภาคธุรกิจ มาตรการดังกล่าวนับเป็นชุดกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้นำญี่ปุ่นคนที่ห้าภายในรอบห้าปี สะท้อนแรงกดดันของรัฐบาลในการแก้ไขภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยให้คำมั่นว่าจะจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อที่สร้างความไม่พอใจให้ประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้นายชิเงรุ อิชิบะ ต้องพ้นจากตำแหน่งหลังดำรงตำแหน่งเพียงหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ครั้งนี้ได้สร้างความกังวลว่าหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นซึ่งอยู่ในระดับสูงอยู่แล้วอาจเพิ่มขึ้นจนกระทบเสถียรภาพทางการเงิน ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และกดดันให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์

การอ่อนค่าของเงินเยนยังทำให้ต้นทุนการนำเข้าพุ่งสูง เนื่องจากญี่ปุ่นพึ่งพาอาหาร พลังงาน และวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลเริ่มส่งสัญญาณการแทรกแซงในตลาดเงิน โดยนายซัตสึกิ คาตายามะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าจะดำเนินการอย่างเหมาะสมหากพบความผันผวนที่ไม่มีระเบียบในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายสะท้อนความกังวลเช่นเดียวกัน มาร์การิตา เอสเตเวซ-อาเบ จากมหาวิทยาลัย Syracuse ระบุว่า ญี่ปุ่นใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวมานานเกินไปโดยไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ขณะที่หนี้สาธารณะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เธอชี้ว่าการอ่อนค่าของเงินเยนจะยิ่งเพิ่มภาระค่าครองชีพของประชาชนด้วยราคาสินค้าที่สูงขึ้น

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิยังย้ำถึงเป้าหมายในการใช้นโยบายการคลังอย่างรับผิดชอบควบคู่ไปกับความเชิงรุก โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการควบคุมราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลทางการล่าสุด อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนตุลาคมปรับเพิ่มขึ้น 3.0% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะราคา “ข้าว” ซึ่งสูงขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นอกจากความท้าทายด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ ญี่ปุ่นยังเผชิญแรงกดดันด้านการทูตจากจีน หลังนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับไต้หวัน ทำให้จีนเรียกเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเข้าพบ และแนะนำให้ชาวจีนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันยังมีรายงานว่าปักกิ่งอาจระงับการนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น แม้ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ

ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นหลังทาคาอิจิระบุว่า ญี่ปุ่นอาจจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงทางทหารหากเกิดการโจมตีไต้หวัน สหรัฐอเมริกาจึงออกแถลงการณ์ย้ำความมั่นคงของพันธมิตรสหรัฐ–ญี่ปุ่น รวมถึงการปกป้องหมู่เกาะเซนกากุ พร้อมคัดค้านการเปลี่ยนแปลงสถานะปัจจุบันในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง