สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยสถานการณ์ค่าบริการขนส่งสินค้าทางถนนในไตรมาส 2 ปี 2568 ว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้อัตราการขยายตัวจะชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ขยับขึ้นถึง 2.7% แต่ยังสะท้อนถึงภาวะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ยังคงหนุนให้เกิดความต้องการด้านการขนส่งอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนค่าจ้างแรงงานในภาคโลจิสติกส์ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ยังคงเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันค่าบริการให้เพิ่มขึ้น
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การปรับเพิ่มของดัชนีในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่มาจากการขยับของค่าขนส่งในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น 0.4% โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าปิโตรเลียม อุปกรณ์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่น ๆ ในทางกลับกัน ค่าบริการขนส่งในหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองกลับลดลง 0.3% จากการหดตัวของการขนส่งถ่านหิน ลิกไนต์ และสินแร่ ส่วนกลุ่มสินค้าเกษตรกรรมและประมงหดตัวมากที่สุดที่ 2.0% ตามแนวโน้มค่าขนส่งสินค้าทางการเกษตรที่ลดลง
เมื่อพิจารณาตามประเภทรถ พบว่าดัชนีในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่เคยขยายตัวถึง 1.7% โดยประเภทรถที่มีการปรับเพิ่มค่าบริการ ได้แก่ รถกระบะบรรทุกที่เพิ่มขึ้น 0.5% รถบรรทุกเฉพาะกิจเพิ่ม 0.6% รถตู้บรรทุกเพิ่ม 0.2% และรถบรรทุกวัสดุอันตรายเพิ่มขึ้นถึง 1.2% ในขณะที่รถบรรทุกของเหลวลดลง 0.7% ส่วนรถพ่วงและกึ่งพ่วงไม่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาโดยเฉลี่ย
ในมุมมองต่ออนาคต นายพูนพงษ์ระบุว่า แนวโน้มดัชนีค่าบริการขนส่งในไตรมาส 3 มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยคาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสร้างงาน ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศและผลักดันความต้องการขนส่งสินค้าตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การปรับอัตราค่าจ้างแรงงานตามมาตรฐานฝีมือ โดยเฉพาะพนักงานขับรถบรรทุก จะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักให้ค่าบริการขนส่งมีแนวโน้มขยับสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันการเติบโตของดัชนีค่าบริการในไตรมาสถัดไป ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันด้านราคาระหว่างผู้ให้บริการขนส่ง ที่อาจฉุดให้ค่าบริการไม่สามารถปรับขึ้นได้ตามต้นทุนจริง นโยบายด้านพลังงานของภาครัฐที่ยังต้องจับตา รวมถึงสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณชะลอตัว ซึ่งอาจกระทบต่อปริมาณการขนส่งระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ นายพูนพงษ์เน้นย้ำว่า ผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในแง่ของการเติบโตของ E-Commerce การเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ โดยกระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการติดตาม วิเคราะห์ และเสนอแนะนโยบายเพื่อสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคโลจิสติกส์ของไทยในระยะยาว
Ask ChatGPT