รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะ “ชัตดาวน์” หรือ Government Shutdown อย่างเป็นทางการ หลังสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณหรือขยายเวลา (Continuing Resolution) ได้ทันภายในเส้นตายวันที่ 30 กันยายน 2025 ส่งผลให้หน่วยงานรัฐที่ไม่มีภารกิจหลักต้องหยุดทำการชั่วคราว ขณะที่บริการสำคัญ เช่น กลาโหม ความมั่นคง และการแพทย์ฉุกเฉิน ยังคงดำเนินการต่อไป นักวิเคราะห์ประเมินว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อเกินหนึ่งไตรมาส จะกดดันให้จีดีพีสหรัฐฯ หดตัวลงกว่า 1% และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงภาคส่งออกของไทยโดยตรง

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ปัญหาชัตดาวน์ครั้งนี้มีรากเหง้ามาจากหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงของรัฐบาลกลาง ซึ่งปัจจุบันแตะระดับ 37 ล้านล้านดอลลาร์ แม้รัฐบาลจะพยายามลดขนาดองค์กรรัฐ ตัดงบประมาณบางส่วน และเพิ่มรายได้จากภาษีศุลกากร แต่รายจ่ายหลักยังคงอยู่ที่สวัสดิการสังคม โดยเฉพาะโครงการด้านสาธารณสุขและ ObamaCare ความขัดแย้งระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในการจัดสรรงบประมาณจึงทำให้การเจรจาไม่คืบหน้าและนำไปสู่การปิดหน่วยงานรัฐในที่สุด

ข้อมูลจาก Congressional Budget Office (CBO) ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นมา สหรัฐฯ เคยเผชิญภาวะชัตดาวน์แล้ว 11 ครั้ง โดยครั้งยาวนานที่สุดกินเวลาถึง 35 วันในช่วงปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสูญเสียกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้จีดีพีหดตัวชั่วคราวราว 0.3% การหยุดชะงักของรัฐบาลแต่ละครั้งส่งผลให้การเบิกจ่ายล่าช้า การออกใบอนุญาตและการบริการของรัฐสะดุด ข้าราชการหลายแสนคนถูกพักงานโดยไม่รับค่าจ้าง และการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเพื่อการวางแผนเชิงนโยบายต้องเลื่อนออกไปทั้งหมด

นักวิเคราะห์การเงินคาดว่า ทุกสัปดาห์ที่รัฐบาลยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์ จะทำให้จีดีพีสหรัฐฯ หดตัวลงอีก 0.1% หรือประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์ หากสถานการณ์ลากยาวตลอดไตรมาส ผลกระทบจะรุนแรงจนกระทบต่อการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะต่อประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกระทบต่อการสั่งซื้อสินค้าจากไทยโดยตรง ทั้งในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า และอาหารแปรรูป ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมการส่งออกไทยไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เติบโตต่ำกว่าคาดการณ์

ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนดังกล่าวยังกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำในตลาดโลก ดร.ภัทรพงษ์ มาลาวัลย์ นักวิจัยจากศูนย์ DEIIT อธิบายว่า ภาวะชัตดาวน์ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ ล้มละลาย แต่สะท้อนถึงความขัดแย้งทางการเมืองภายใน ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อระบบการคลังของประเทศ หากสถานการณ์ยืดเยื้อ มีโอกาสที่สหรัฐฯ จะถูกปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถืออีกครั้ง และจะยิ่งซ้ำเติมแรงเทขายพันธบัตรรัฐบาล ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงต่อเนื่อง

รศ.ดร.อนุสรณ์ เสริมว่า ความผันผวนของตลาดการเงินที่เกิดขึ้นจากการชัตดาวน์ จะผลักให้นักลงทุนทั่วโลกโยกเงินเข้าสู่ตลาดทองคำเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางราคาทองในระยะกลางถึงยาว เขาประเมินว่าราคาทองคำโลกอาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3,900–4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2025 ถึงกลางปี 2026 โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) การอ่อนค่าของดอลลาร์ และการซื้อทองคำต่อเนื่องจากธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงกองทุน ETF ขนาดใหญ่

ทั้งนี้ Goldman Sachs และ J.P. Morgan ต่างประเมินตรงกันว่าราคาทองคำยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น แม้อาจมีการพักฐานระหว่างทางจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น ขณะที่ราคาทองคำในประเทศปรับเพิ่มตามตลาดโลก โดยยังมีแรงซื้อจากทั้งนักลงทุนและผู้บริโภคทั่วไป อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกี่ยวกับแผนของภาครัฐไทยที่จะจัดเก็บภาษีการซื้อขายทองคำเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าอาจส่งผลกระทบต่อสถานะของไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าทองคำของภูมิภาค อีกทั้งมาตรการดังกล่าวอาจไม่สามารถชะลอเงินบาทแข็งค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก

ภาพรวมแล้ว การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งนี้สะท้อนถึงความเปราะบางทางการเมืองและการคลังของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อเศรษฐกิจภายในสหรัฐฯ เอง แต่ยังกระจายแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ทั้งในตลาดการเงิน การค้า และราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะทองคำที่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน