เส้นทางขนส่งผลไม้ไทยผ่านด่านรถไฟผิงเสียง–โหย่วอี้กวาน: ประตูเศรษฐกิจใหม่เชื่อมไทย-จีน-อาเซียน
การขนส่งผลไม้สดของไทยกำลังเปลี่ยนโฉมจากการขนส่งทางเรือสู่เส้นทางบกและรางที่รวดเร็วกว่าเดิม โดยเฉพาะผ่าน “ด่านรถไฟผิงเสียง” และ “ด่านโหย่วอี้กวาน” ซึ่งกลายเป็นเส้นเลือดหลักของการค้าผลไม้ไทยสู่ตลาดจีนและอาเซียนตอนใต้ เส้นทางใหม่นี้ไม่เพียงช่วยรักษาความสดใหม่ของผลไม้ แต่ยังเป็นเครื่องมือยกระดับศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดโลก ผ่านระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะและพิธีการศุลกากรที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
ความสดใหม่คือหัวใจของความสำเร็จ
ความสดถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของสินค้าประเภทผลไม้สด ซึ่งมีอายุการเก็บรักษาสั้นและต้องได้รับการดูแลตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยว การบรรจุ ไปจนถึงการขนส่ง หากสามารถส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ผลไม้จะยังคงคุณภาพ รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างครบถ้วน ปัจจุบันผู้บริโภคจีนให้ความสำคัญกับความสดและความปลอดภัยของอาหาร ทำให้ผลไม้ไทย เช่น ทุเรียน มังคุด ลำไย และมะม่วง เป็นที่ต้องการสูงในตลาดจีน
จากทางเรือสู่ทางราง: เส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ของไทย
ในอดีตการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนส่วนใหญ่ใช้การขนส่งทางเรือซึ่งใช้เวลาหลายวัน แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการจำนวนมากหันมาใช้เส้นทางบกและราง เนื่องจากใช้เวลาน้อยกว่าและสามารถรักษาคุณภาพผลไม้ได้ดีกว่า เส้นทางขนส่งหลักเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ผ่านจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ มุกดาหาร และนครพนม เข้าสู่ประเทศลาว ต่อไปยังกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ก่อนเข้าสู่สถานีด่งดัง จังหวัดลางเซิน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่ด่านผิงเสียงของจีน จากนั้นผลไม้จะถูกกระจายไปยังเมืองใหญ่ทั่วประเทศ
เส้นทางนี้เดิมมีรอบการเดินรถไฟเพียงสามรอบต่อสัปดาห์ แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นทุกวัน และสูงสุดถึงวันละสามรอบ ทำให้การขนส่งผลไม้มีความต่อเนื่องและรวดเร็วขึ้นอย่างมาก
ด่านรถไฟผิงเสียง: ศูนย์กลางโลจิสติกส์เชื่อมจีน-อาเซียน
“ศูนย์โลจิสติกส์ด่านรถไฟผิงเสียง” ตั้งอยู่ในเมืองผิงเสียง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของจีน ถือเป็นด่านเศรษฐกิจหลักที่เชื่อมจีนกับกลุ่มประเทศอาเซียนโดยตรง และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “One Belt One Road” ของรัฐบาลจีน ศูนย์แห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 430 หมู่ หรือราว 345 ไร่ของไทย ออกแบบให้เป็นศูนย์โลจิสติกส์ครบวงจร มีทั้งคลังสินค้า ศูนย์ตรวจสอบสินค้า และระบบศุลกากรสมัยใหม่ สามารถรองรับการนำเข้า-ส่งออกได้มากกว่า 2.8 ล้านตันต่อปี
ทำเลของด่านผิงเสียงถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ เนื่องจากอยู่ติดชายแดนเวียดนามเพียง 14 กิโลเมตร และห่างจากสถานีรถไฟด่งดังในจังหวัดลางเซินเพียง 17 กิโลเมตร จึงเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดจากจีนเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียน และยังสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายรถไฟจีน-ยุโรป เพื่อขยายตลาดไปยังเอเชียกลางและยุโรปได้อีกด้วย
ด่านผิงเสียงยังเป็นด่านแรกของจีนที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าผลไม้จากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้กับผู้ส่งออกไทยในการเข้าถึงตลาดจีนด้วยระยะเวลาที่สั้นลงและขั้นตอนที่สะดวกยิ่งขึ้น
จุดเด่นของระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ
การขนส่งผลไม้ไทยผ่านด่านผิงเสียงมีข้อได้เปรียบหลักอยู่สามด้านคือ ความรวดเร็วในการรักษาความสด, ประสิทธิภาพด้านปริมาณและต้นทุน, และระบบดิจิทัลที่ช่วยอำนวยความสะดวก รัฐบาลกว่างซีได้ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีโลจิสติกส์ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยใช้ระบบ “ท่าเรือดิจิทัล” ที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างการรถไฟ ศุลกากร และด่านชายแดนแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถดำเนินพิธีการศุลกากรได้ภายใน 3–4 นาที และขบวนรถไฟจากเวียดนามถึงจีนใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
ผลไม้ไทยที่ขนส่งผ่านด่านนี้ส่วนใหญ่คือ ทุเรียน ขนุน และลำไยอบแห้ง โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรจีนจะมีการสุ่มตรวจโรคพืชและสารเคมีอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมมาตรฐานคุณภาพของสินค้า
ด่านผิงเสียง: ศูนย์กลางผลไม้แห่งใหม่ของเอเชีย
ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนระบุว่า ในปี 2567 มีการนำเข้า-ส่งออกผลไม้รวมกว่า 2.45 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าการค้ากว่า 31,000 ล้านหยวน โดยผลไม้นำเข้าที่สำคัญได้แก่ ทุเรียนสด 602,800 ตัน แก้วมังกร 547,200 ตัน และมะม่วง 253,400 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่ส่งมาจากเวียดนามและไทย ขณะที่ผลไม้ที่จีนส่งออกคือ ส้ม องุ่น และลูกแพร์
ฝั่งไทยเอง กรมวิชาการเกษตรรายงานว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 มีการส่งออกทุเรียนสดไปจีนกว่า 912,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านเส้นทางด่านผิงเสียงและโหย่วอี้กวาน
ด่านโหย่วอี้กวาน: จากสมรภูมิสู่ประตูเศรษฐกิจ
คู่ขนานกับด่านผิงเสียงคือ “ด่านโหย่วอี้กวาน” หรือ “ด่านมิตรภาพ” ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอระดับเมืองผิงเสียงเช่นกัน ถือเป็นหนึ่งในเก้าด่านสำคัญของจีน และเป็นจุดผ่านแดนทางบกที่มีความคึกคักทางเศรษฐกิจมากที่สุดระหว่างจีนกับเวียดนาม พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นสมรภูมิรบในอดีต แต่ปัจจุบันกลายเป็นประตูเศรษฐกิจแห่งความร่วมมือ โดยเฉพาะในการขนส่งสินค้าเกษตรจากไทย เช่น ทุเรียนและมังคุด ที่นิยมใช้เส้นทางเศรษฐกิจสาย R9 (จากมุกดาหาร) และ R12 (จากนครพนม) เพื่อเข้าสู่ตลาดจีนผ่านด่านโหย่วอี้กวาน
ยกระดับสู่ “ด่านอัจฉริยะ” ด้วยความร่วมมือจีน–เวียดนาม
จีนและเวียดนามได้ร่วมลงนาม “ข้อตกลงว่าด้วยการร่วมผลักดันการก่อสร้างจุดนำร่องด่านอัจฉริยะ” เพื่อพัฒนาด่านโหย่วอี้กวานของจีนและด่านหูหงิของเวียดนามให้เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ทั้งสองฝ่ายนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งภาคพื้นดินไร้คนขับ ช่องทางเฉพาะสำหรับรถบรรทุกอัตโนมัติ ระบบแบ่งปันข้อมูลโลจิสติกส์อัจฉริยะ และระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เพื่อให้สามารถดำเนินพิธีการศุลกากรแบบ “เบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว” ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ประจำ
เมื่อโครงการแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2568 ด่านอัจฉริยะโหย่วอี้กวาน–หูหงิจะช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการขนส่งสินค้าได้อย่างมาก สามารถส่งสินค้าจากหนานหนิงถึงฮานอยภายใน 24 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำบทบาทของด่านนี้ในฐานะ “ประตูเศรษฐกิจใหม่ของอาเซียน” ที่เปิดกว้างสู่การค้าผลไม้ไทยในตลาดจีนและภูมิภาคโดยรอบอย่างมั่นคงและยั่งยืน.

