นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า รัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการยกเลิกสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง–สุวรรณภูมิ–อู่ตะเภา) มูลค่ากว่า 224,544 ล้านบาท ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ในเครือกลุ่มซีพี โดยระบุว่าการดำเนินการใด ๆ ต้องอยู่ภายใต้กรอบของสัญญาเดิมและเป็นไปตามคำแนะนำของสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) อย่างเคร่งครัด

นายพิพัฒน์กล่าวว่า แม้โครงการจะประสบปัญหาความล่าช้าและยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม แต่การยกเลิกสัญญาไม่สามารถทำได้ในขณะนี้ เนื่องจากสัญญาระหว่างรัฐและเอกชนได้มีผลบังคับใช้แล้ว “เราไม่สามารถยกเลิกได้เพราะสัญญาเดินไปแล้ว แต่จะพยายามเชิญผู้ที่ประมูลได้มาหารือกัน” เขากล่าว พร้อมย้ำว่ากระทรวงคมนาคมเตรียมเชิญผู้แทนจากกลุ่มซีพีเข้าหารือร่วมกับรฟท. ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อหาทางออกในการเดินหน้าโครงการให้เป็นไปตามแผน

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินถือเป็นหนึ่งในโครงการยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลภายใต้โครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีเป้าหมายเชื่อมการเดินทางระหว่างสามสนามบินหลักของประเทศ ได้แก่ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา รวมระยะทางราว 220 กิโลเมตร เพื่อยกระดับระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ของไทยให้เชื่อมโยงกับภูมิภาคอาเซียน

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ลงนามสัญญาร่วมลงทุนในปี 2562 โครงการกลับเผชิญอุปสรรคหลายด้าน ทั้งปัญหาการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า การโยกย้ายสาธารณูปโภค รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลให้แผนการก่อสร้างหยุดชะงัก และยังมีประเด็นการเจรจาเรื่องการแบ่งสัดส่วนรายได้และภาระความรับผิดชอบระหว่างรัฐกับเอกชนที่ยังไม่บรรลุข้อตกลง

นายพิพัฒน์เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้หารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว เพื่อพิจารณารายละเอียดของสัญญาร่วมลงทุน ว่าส่วนใดรัฐสามารถดำเนินการได้ และส่วนใดที่จำเป็นต้องหารือเพิ่มเติมกับเอกชน “เราจะทำตามคำแนะนำของอัยการสูงสุดทุกประการ เพื่อให้การดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และรักษาผลประโยชน์ของรัฐเป็นหลัก” เขากล่าว

ทั้งนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของการรถไฟแห่งประเทศไทย และถือเป็นโครงการ PPP (Public-Private Partnership) ขนาดใหญ่ที่ภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มซีพี ได้รับสิทธิในการร่วมลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการ โดยมีสัญญาเช่าระยะยาวกว่า 50 ปี ซึ่งรัฐบาลมองว่า หากสามารถเดินหน้าได้สำเร็จ จะช่วยสร้างการเชื่อมโยงด้านคมนาคมและเศรษฐกิจจากกรุงเทพฯ สู่ภาคตะวันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“โครงการนี้สำคัญต่อประเทศมาก เราไม่ต้องการให้สะดุด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงความรอบคอบทางกฎหมายและผลประโยชน์ของประชาชน เราจะเชิญเอกชนมาหารือ เพื่อหาทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และทำให้โครงการสามารถขับเคลื่อนไปต่อได้จริง” นายพิพัฒน์กล่าวย้ำ

คาดว่าการหารือระหว่างกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และกลุ่มซีพีในสัปดาห์หน้าจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการกำหนดทิศทางโครงการในระยะต่อไป ว่าจะสามารถปรับเงื่อนไขบางส่วนเพื่อให้โครงการเดินหน้าได้ หรือจำเป็นต้องพิจารณาทางเลือกอื่นเพื่อไม่ให้กระทบต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ