เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 รถไฟขบวนแรกในเส้นทาง “ทรานส์แคสเปียน” ได้ออกเดินทางจากเขตฝางชานในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มุ่งหน้าสู่กรุงบากู เมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเส้นทางโลจิสติกส์ใหม่ที่มีศักยภาพสูงในการเชื่อมโยงระหว่างจีนและยุโรป โดยรถไฟขบวนนี้บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐานจำนวน 104 ตู้ (TEUs) ซึ่งภายในบรรจุสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์เครื่องจักรกล รวมมูลค่าสินค้ากว่า 15 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ
เส้นทางขนส่งนี้มีลักษณะพิเศษตรงที่เป็นการขนส่งแบบผสมผสานหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) โดยเริ่มต้นจากทางรถไฟในจีนเข้าสู่คาซัคสถานผ่านด่าน Khorgos ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนที่สำคัญระหว่างจีนกับคาซัคสถาน จากนั้นสินค้าได้รับการเคลื่อนย้ายต่อไปยังท่าเรือ Aktau ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลแคสเปียนในคาซัคสถาน ก่อนจะลำเลียงข้ามทะเลด้วยเรือเฟอร์รีไปยังท่าเรือ Alat ในประเทศอาเซอร์ไบจาน และส่งต่อเข้าสู่ระบบรถไฟภายในประเทศ เพื่อนำสินค้าไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายคือ กรุงบากู
ตลอดเส้นทางกว่า 8,000 กิโลเมตร กระบวนการขนส่งนี้ใช้เวลาประมาณ 15 วัน ซึ่งนับว่ารวดเร็วกว่าการขนส่งทางเรือผ่านช่องแคบมะละกาและคลองสุเอซหลายวัน โดยเมื่อสินค้าถึงกรุงบากูแล้ว ยังสามารถขนส่งต่อไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เช่น จอร์เจีย ตุรกี เซอร์เบีย และประเทศในยุโรปตะวันออก ผ่านโครงข่ายรางที่เชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขตคอเคซัสและคาบสมุทรบอลข่าน
เส้นทางรถไฟทรานส์แคสเปียนจึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จีนพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพาเส้นทางการขนส่งผ่านรัสเซีย โดยเฉพาะภายใต้บริบททางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการค้าแก่ประเทศในเอเชียกลางและภูมิภาคคอเคซัส ที่ต้องการลดการพึ่งพาเส้นทางทะเลเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ ความแออัดของท่าเรือ หรือปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศ
สำหรับประเทศไทย เส้นทางทรานส์แคสเปียนนับเป็นโอกาสใหม่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่ระบบโลจิสติกส์มีบทบาทเป็นหัวใจสำคัญของการขยายตลาดส่งออก ปัจจุบันไทยสามารถเชื่อมต่อการขนส่งทางรางสู่จีนได้ผ่านทางรถไฟลาว-จีน ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการและมีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากผู้ประกอบการไทยสามารถจัดส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้แล้ว ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเส้นทางทรานส์แคสเปียนเป็นทางเลือกในการกระจายสินค้าไปยังตลาดใหม่ในคาซัคสถาน อาเซอร์ไบจาน และกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออกได้ทันที
นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการใช้เส้นทางนี้เพื่อลดต้นทุนด้านเวลาและเพิ่มความยืดหยุ่นในการวางแผนห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ต้องการขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูงหรือมีข้อจำกัดด้านเวลา เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ต้องรักษาคุณภาพในระหว่างขนส่ง
การเปิดเส้นทางทรานส์แคสเปียนจึงไม่เพียงเป็นการเสริมโครงข่ายยุทธศาสตร์ "สายทางสายไหมใหม่" ของจีน แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสทางการค้าที่หลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้นให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ซึ่งหากมีการส่งเสริมความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ระหว่างรัฐและเอกชนอย่างจริงจัง ก็สามารถพลิกความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ของไทยให้เป็นประโยชน์ต่อการขยายการค้าไปสู่ดินแดนใหม่ ๆ ในยุโรปและเอเชียกลางผ่านโครงข่ายเส้นทางรางระดับทวีปนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต