การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เดินหน้าผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบรางสมัยใหม่เต็มรูปแบบ โดยล่าสุดเตรียมเปิดให้บริการ “รถไฟทางคู่” ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาเครือข่ายระบบรางสายเหนือ เพื่อรองรับการเดินทางที่รวดเร็ว ปลอดภัย และทันสมัยยิ่งขึ้น

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจความพร้อมว่า ในช่วงแรกจะเปิดให้บริการ 5 ขบวน พร้อมเปลี่ยนตารางเวลาเดินรถใหม่ โดยยังใช้เส้นทางผ่านสถานีลพบุรี 1 ก่อนจะเปลี่ยนเข้าสู่ “สถานีลพบุรี 2” ซึ่งอยู่ขนานกับถนนหมายเลข 366 ในวันที่ 5 ธันวาคม 2568 พร้อมเปิดใช้งานระบบอาณัติสัญญาณ “E-Token” อัจฉริยะ ซึ่งไทยนับเป็นประเทศแรกในโลกที่นำระบบนี้มาใช้จริง

จุดเด่นสำคัญของเส้นทางนี้คือ “ทางรถไฟยกระดับ” ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยยกระดับจากสถานีบ้านกลับ จังหวัดสระบุรี ไปจนถึงสถานีโคกกระเทียม จังหวัดลพบุรี ระยะทางกว่า 19 กิโลเมตร สูงเฉลี่ย 10-20 เมตร ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มความเร็วในการเดินทาง แต่ยังลดผลกระทบต่อชุมชนและการจราจรในพื้นที่

เมื่อโครงการรถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพเปิดใช้งาน จะสามารถลดระยะเวลาการเดินทางจากเดิมที่ใช้เวลาราว 4-5 ชั่วโมง เหลือเพียง 3-4 ชั่วโมง และหากเปิดใช้โครงการเฟส 2 จากปากน้ำโพถึงเชียงใหม่ได้ครบถ้วน ก็จะยิ่งลดเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่จากกว่า 14 ชั่วโมง เหลือเพียงราว 7 ชั่วโมงครึ่ง หากใช้รถไฟที่มีสมรรถนะสูง

ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญาหลัก ครอบคลุมทั้งเส้นทางระดับพื้น ยกระดับ ระบบสถานีใหม่ ศูนย์ควบคุมการเดินรถ และคลังสินค้าที่สถานีเขาทอง โดยมีสถานีหลักรวม 19 แห่ง และจุดหยุดรถอีก 5 จุด ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์แบบครบวงจร

นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางแล้ว เส้นทางรถไฟสายใหม่นี้ยังมีความหมายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมาก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อสู่โครงข่ายรถไฟทางคู่สายเหนือเฟสถัดไป ตั้งแต่ปากน้ำโพ-เด่นชัย และเด่นชัย-เชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนขออนุมัติโครงการ โดยหากทั้งระบบเสร็จสมบูรณ์ จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของระบบรางเดี่ยวเดิม เพิ่มความตรงต่อเวลา ลดการรอหลีกทาง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์และท่องเที่ยวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในอนาคต รฟท. ยังวางแผนเชื่อมการเดินทางระหว่างสถานีลพบุรี 1 และลพบุรี 2 ด้วยระบบรถเชื่อมต่อ (Feeder) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงให้สถานีลพบุรี 1 ทำหน้าที่รองรับขบวนรถท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

การเปิดหวูดรถไฟทางคู่ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการขับเคลื่อนประเทศด้วยระบบรางสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงทั้งคน เมือง และเศรษฐกิจ เข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน

ที่มา - thaipost