การขนส่งสินค้าทางตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของระบบการค้าโลก กำลังเผชิญคลื่นความปั่นป่วนระลอกใหม่ จากผลกระทบของสงครามภาษีที่นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากการประกาศใช้มาตรการภาษีที่เข้มข้นต่อประเทศคู่ค้ากว่า 60 ประเทศเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา บรรยากาศการค้าโลกก็กลับเข้าสู่ความไม่แน่นอนอีกครั้ง และที่รุนแรงเป็นพิเศษคือความตึงเครียดกับจีน ซึ่งยังคงถูกเก็บภาษีในระดับสูง แม้จะมีการระงับภาษีชั่วคราวสำหรับประเทศอื่นๆ ก็ตาม
ในเวลาเพียงวันเดียวหลังจากประกาศใช้ภาษีแบบสายฟ้าแลบ สหรัฐฯ กลับระงับการบังคับใช้ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันสำหรับหลายประเทศ ขณะที่จีนไม่ได้รับการยกเว้น และตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีของตนเอง ส่งผลให้ทั้งสองประเทศกำหนดภาษีขั้นต่ำที่สูงถึง 125% ต่อสินค้านำเข้าของกันและกัน สถานการณ์กลับยิ่งซับซ้อนขึ้น เมื่อสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ ถูกยกเว้นโดยไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน แม้ว่าภาษีเดิมที่เคยใช้กับจีนยังคงมีผลบังคับอยู่
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้ ทำให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าทั่วโลกต้องเร่งประเมินและปรับแผนการขนส่งอย่างต่อเนื่อง รายงานของยูดาห์ เลวีน นักวิเคราะห์จาก Freightos ชี้ว่า การประกาศภาษีระลอกใหม่ได้กดดันให้ยอดการจองตู้คอนเทนเนอร์จากเอเชียลดลงทันที ขณะเดียวกัน การเร่งขนส่งล่วงหน้าก่อนภาษีจะเริ่มมีผล ได้ดันราคาค่าขนส่งจากเอเชียไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10% อยู่ที่ 2,465 ดอลลาร์สหรัฐต่อตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ส่วนเส้นทางไปฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ขยับขึ้น 3% อยู่ที่ 3,647 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม เมื่อภาษีมีผลบังคับใช้ ราคาขนส่งจากเซี่ยงไฮ้กลับลดลง 16% สวนทางกับไต้หวันและเวียดนามที่ราคายังคงทรงตัวในระดับสูง สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มกระจายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย
ขณะที่ความไม่แน่นอนยังคงปกคลุมอยู่ ท่าเรือหลายแห่งในจีนเริ่มเผชิญปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ว่างล้นท่า และมีรายงานการยกเลิกเรือเดินสมุทรเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่ลดลง ผู้นำเข้าสหรัฐฯ หลายรายตัดสินใจเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าไปตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา หวังลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งและความเสี่ยงทางการค้าในปีนี้ ส่งผลให้มีสินค้าคงคลังสะสมเพียงพอในระดับหนึ่ง และเลือกหยุดชั่วคราวเพื่อประเมินทิศทางใหม่
การพักภาษีเป็นเวลา 90 วันนับเป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งสินค้าในเส้นทางอื่นที่จะเร่งนำเข้าสินค้าก่อนเส้นตายเดือนกรกฎาคม แต่ก็อาจนำไปสู่การลดลงของคำสั่งซื้อในระยะถัดมา ทำให้ “ฤดูกาลพีค” ของการขนส่งในปีนี้อาจเงียบเหงากว่าที่เคยเป็น เนื่องจากความต้องการถูกดึงไปก่อนหน้าแล้ว
ในเส้นทางเอเชีย–ยุโรป ดัชนีค่าขนส่งระบุว่าราคาลดลง 1% เหลือ 2,365 ดอลลาร์ต่อหน่วยตู้คอนเทนเนอร์ ส่วนเส้นทางเอเชีย–เมดิเตอร์เรเนียน ลดลง 5% เหลือ 2,751 ดอลลาร์ โดยผู้ให้บริการเดินเรือจำเป็นต้องปรับแผนอย่างเร่งด่วน เพื่อเพิ่มบริการจากประเทศอื่นในเอเชียแทนจีน ในขณะที่ยังต้องรับมือกับปัญหาตู้เปล่าที่หมุนเวียนกลับมาไม่ทัน
ความเคลื่อนไหวของสายเรือใหญ่ เช่น Maersk และ Hapag-Lloyd ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่ปกติในตลาด ทั้งสองบริษัทประกาศเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษในฤดูพีค โดย Maersk เรียกเก็บ 2,000 ดอลลาร์ต่อ FEU สำหรับสินค้าจากเอเชียไปยังสหรัฐฯ และแคนาดา ตั้งแต่ 15 พฤษภาคม ขณะที่ Hapag-Lloyd ซึ่งเป็นพันธมิตรในโครงการ Gemini Cooperation ก็กำหนดอัตราค่าบริการเท่ากัน มีผลตั้งแต่ 12 พฤษภาคม
แม้ราคาเฉลี่ยของการขนส่งจากเอเชียไปอเมริกาเหนือจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงต้นเดือน แต่ก็เริ่มมีแนวโน้มลดลงอีกครั้งเมื่อแรงผลักจากการเร่งขนส่งล่วงหน้าผ่านพ้นไป ความแตกต่างของราคาในแต่ละเส้นทางและประเทศจึงกลายเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่าโครงสร้างของห่วงโซ่อุปทานโลกอาจกำลังเปลี่ยนแปลงในระดับลึกกว่าที่เห็น
สำหรับธุรกิจขนส่งและผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ปี 2568 จึงเป็นปีแห่งความท้าทายที่จะต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในแบบรายวัน ตั้งแต่การเคลื่อนไหวทางการเมือง จนถึงการวางแผนรับมือกับตู้คอนเทนเนอร์ว่างที่ล้นท่า และเส้นทางที่ไม่แน่นอนอีกต่อไป
ที่มา - thansettakij