ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ว่าสหรัฐจะเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% สำหรับรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ (medium- and heavy-duty trucks) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป มาตรการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ ที่รัฐบาลทรัมป์เร่งเดินหน้าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
รายงานจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า การประกาศภาษีครั้งนี้มีขึ้นหลังจากแรงกดดันจากผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในดีทรอยต์ที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินมาตรการเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตภายในประเทศ เดิมทีทรัมป์มีกำหนดเริ่มเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม แต่ภายหลังเลื่อนออกไปตามคำร้องของภาคอุตสาหกรรมที่ขอเวลาปรับตัว
ทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียว่า “ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ รถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ทุกคันที่นำเข้าจากต่างประเทศจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% เพื่อปกป้องผู้ผลิตของเรา” โดยการประกาศดังกล่าวอ้างอิงอำนาจตามมาตรา 232 แห่งกฎหมาย Trade Expansion Act ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลสหรัฐเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ
การสอบสวนที่นำไปสู่มาตรการใหม่นี้มุ่งเป้าไปที่รถบรรทุกน้ำหนักเกิน 10,000 ปอนด์และชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐชี้ว่าผู้จัดหาจากต่างประเทศบางรายใช้ “กลยุทธ์การค้าทางล่าเหยื่อ” (predatory trade practices) และครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าของสหรัฐในสัดส่วนสูง ซึ่งถูกมองว่าอาจเป็นภัยต่อผู้ผลิตในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ภาษีใหม่นี้คาดว่าจะเพิ่มภาระต้นทุนให้กับหลายอุตสาหกรรมที่พึ่งพารถบรรทุก เช่น การขนส่ง การก่อสร้าง และบริการสาธารณะ เนื่องจากราคารถบรรทุกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ภาคธุรกิจบางส่วนกังวลถึงผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
บริษัท Stellantis NV เจ้าของรถบรรทุกแบรนด์ Ram ซึ่งผลิตในเม็กซิโก ได้ยื่นคำร้องขอยกเว้นภาษี เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรง แต่กลับถูกคัดค้านโดย General Motors (GM) และ Ford Motor Co. ที่ให้เหตุผลว่า หากรัฐบาลอนุมัติจะทำให้ Stellantis ได้เปรียบด้านต้นทุนเหนือคู่แข่งในสหรัฐที่ต้องเสียภาษีนำเข้าชิ้นส่วนอยู่แล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายสนับสนุนนโยบายดังกล่าวมองว่า มาตรการนี้เป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูภาคการผลิตของประเทศ ทรัมป์ระบุว่า “ภาษีนี้มีความจำเป็น เพื่อปกป้องผู้ผลิตรถบรรทุกของเราจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” ขณะที่ Nick Iacovella จากกลุ่ม Coalition for a Prosperous America กล่าวว่ามาตรการนี้คือ “ชัยชนะของแรงงานอเมริกัน” และจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ในปีที่ผ่านมา สหรัฐนำเข้ารถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ราว 245,000 คัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ โดยผู้ได้รับผลกระทบหลักจากภาษีใหม่นี้ได้แก่ผู้ผลิตต่างชาติรายใหญ่ เช่น Daimler Truck Holding AG เจ้าของแบรนด์ Freightliner, Volvo Group เจ้าของ Mack Trucks และ Paccar Inc. เจ้าของแบรนด์ Peterbilt และ Kenworth
บริษัท International Motors LLC (ชื่อเดิม Navistar) เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด โดยรถบรรทุกที่จำหน่ายในสหรัฐกว่า 98% มาจากเม็กซิโก ส่วน Daimler พึ่งพาการนำเข้าประมาณ 83% ขณะที่ Paccar และ Volvo ผลิตเกือบทั้งหมดในประเทศ จึงได้รับผลกระทบน้อยกว่า
ภาษีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของชุด “มาตรการภาษีเฉพาะอุตสาหกรรม” (industry-specific tariffs) ที่รัฐบาลทรัมป์ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ได้มีการเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดง รถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์แล้ว ขณะเดียวกันยังมีการเตรียมขึ้นภาษีสินค้าประเภทไม้ แร่ธาตุ เฟอร์นิเจอร์ และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนในช่วงปลายปีนี้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติมตามมาตรา 232 ครอบคลุมสินค้าอีกหลายประเภท เช่น แผงโซลาร์เซลล์ เครื่องบินพาณิชย์ เซมิคอนดักเตอร์ แร่ธาตุสำคัญ หุ่นยนต์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดสะท้อนทิศทางชัดเจนของรัฐบาลทรัมป์ในการใช้ “ภาษี” เป็นเครื่องมือหลักเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและเสริมอำนาจการผลิตของสหรัฐในเวทีโลก