รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศขยายขอบเขตการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 50% ให้ครอบคลุมสินค้าอีกกว่า 400 รายการ โดยมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา และถือเป็นการเพิ่มน้ำหนักเชิงนโยบายการค้าอย่างมีนัยสำคัญ
รายงานจากสำนักข่าว CNBC ระบุว่าภาษีนำเข้ารอบใหม่นี้ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดับเพลิง เครื่องจักร วัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงสารเคมีชนิดพิเศษที่มีส่วนผสมของเหล็กหรืออะลูมิเนียม รวมถึงชิ้นส่วนรถยนต์ พลาสติก และส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ชี้ว่า “หากสินค้าใดมีความมันวาว เป็นโลหะ หรือเกี่ยวข้องกับเหล็กและอะลูมิเนียมแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกจัดเก็บภาษีในครั้งนี้”
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่ามาตรการนี้ครอบคลุมสินค้า 407 ประเภท โดยมีเป้าหมายเพื่อปิดกั้นช่องทางการหลีกเลี่ยงภาษีและสนับสนุนการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมในประเทศ อย่างไรก็ตาม การประกาศดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน แต่ใช้รหัสศุลกากรแทน ซึ่งทำให้สาธารณชนยากต่อการประเมินขอบเขตผลกระทบโดยรวม
เจสัน มิลเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต ประเมินว่าภาษีชุดใหม่นี้จะครอบคลุมการนำเข้าที่มีมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ราว 190,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งย่อมส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจและราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในเดือนกรกฎาคม
การเก็บภาษีนำเข้าครั้งนี้นับเป็นความต่อเนื่องจากมาตรการก่อนหน้า โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทรัมป์เพิ่งประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นสองเท่า หรือ 50% สำหรับประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ ทำเนียบขาวชี้ว่าการประกาศภาษีรอบใหม่ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เนื่องจากได้เริ่มกระบวนการทบทวนและรวมผลิตภัณฑ์ใหม่มาตั้งแต่ต้นปี และเปิดให้บริษัทต่างๆ ยื่นคำร้องขอจัดรวมสินค้าไว้ล่วงหน้าแล้ว
มาตรการนี้แม้จะมีเป้าหมายเพื่อเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมภายในประเทศ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวมอาจรุนแรง โดยเฉพาะแรงกดดันเงินเฟ้อและต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการในหลายภาคส่วน