หลังจากพยายามฟื้นคืนความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการต่อเรือ สหรัฐอเมริกาก็ต้องยอมถอยเมื่อเผชิญแรงต้านมหาศาลจากทุกภาคส่วน ภายใต้แผนเรียกเก็บ “ค่าธรรมเนียมเรือจีน” ที่เคยสร้างความตกตะลึงในแวดวงการเดินเรือโลก

ก่อนหน้านี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้เสนอแผนจัดเก็บค่าธรรมเนียมสูงถึง 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อการเทียบท่า สำหรับเรือที่ต่อในประเทศจีน ซึ่งเป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อสกัดการครอบงำของจีนในอุตสาหกรรมเรือพาณิชย์โลก — โดยจีนสามารถต่อเรือได้มากถึง 1,700 ลำต่อปี เทียบกับสหรัฐฯ ที่ผลิตได้เพียง 5 ลำต่อปี

แต่มาตรการที่รุนแรงเช่นนี้กลับกลายเป็น “ดาบสองคม” เพราะไม่เพียงแต่กระทบผู้ประกอบการเดินเรือยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ยังส่งผลต่อ ต้นทุนการนำเข้าสินค้า ของสหรัฐฯ ซึ่งประเมินว่าอาจกระทบผู้บริโภคในประเทศสูงถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี พร้อมบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของอเมริกาเอง

📉 USTR ถอย ปรับเกณฑ์ใหม่ ยืดหยุ่นมากขึ้น
ภายใต้แรงกดดันที่ถาโถม สหรัฐฯ จึงประกาศ “ลดเพดาน” และ “ผ่อนคลายเงื่อนไข” อย่างมีนัยสำคัญ โดยประกาศใน Federal Register ฉบับล่าสุด ระบุว่า:

ยกเว้น ค่าธรรมเนียมให้กับเรือบางประเภท เช่น

  • เรือที่วิ่งระหว่างท่าเรือในประเทศ
  • เรือที่ไปยังหมู่เกาะแคริบเบียนและดินแดนของสหรัฐฯ
  • เรือของสหรัฐฯ และแคนาดาในเขต Great Lakes
  • เรือเปล่าที่เข้ามารับสินค้าส่งออก

ปรับรูปแบบการคิดค่าธรรมเนียมจาก “ต่อเที่ยว” เป็น

  • ต่อระวางบรรทุกสุทธิ (net tonnage)
  • หรือต่อตู้คอนเทนเนอร์ที่ขนถ่าย

แบ่งอัตราเก็บเป็น 2 กลุ่มหลัก:

เรือที่ต่อและมีเจ้าของเป็นบริษัทจีน:

  • เริ่มต้น 50 ดอลลาร์/ตันระวางบรรทุกสุทธิ
  • เพิ่มขึ้น 30 ดอลลาร์/ปี เป็นเวลา 3 ปี

เรือที่ต่อในจีนแต่เจ้าของไม่ใช่จีน:

  • เริ่มต้น 18 ดอลลาร์/ตัน
  • เพิ่มปีละ 5 ดอลลาร์ เช่นกัน

ทั้งนี้ เรือบรรทุกสินค้าที่มีล้อ เช่น รถยนต์ หรือเครื่องจักร อาจได้รับ เงินคืนค่าธรรมเนียมบางส่วน หากมีคำสั่งต่อเรือใหม่ในสหรัฐฯ ภายใน 3 ปี ส่วนเรือบรรทุกก๊าซ LNG ถูกกำหนดเป้าหมายระยะยาวให้ต้องขนส่ง LNG สหรัฐฯ อย่างน้อย 15% ด้วยเรือสัญชาติอเมริกันภายในปี 2047

มาตรการใหม่นี้จะเริ่มมีผลในวันที่ 14 ตุลาคม 2568

🚢 มากกว่าเรื่องเศรษฐกิจ คือยุทธศาสตร์ระดับชาติ
แม้จะปรับลดความเข้มข้นลง แต่มาตรการดังกล่าวยังคงเป็น “สัญญาณชัดเจน” ว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมปล่อยให้จีนผูกขาดอุตสาหกรรมการต่อเรือ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลไกหลักด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และศักยภาพด้านการทหาร

สิ่งที่น่าสนใจคือ นี่คือหนึ่งในไม่กี่ประเด็นที่ได้รับ “ฉันทามติ” จากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ไม่ว่าจะเป็นในยุคของ ประธานาธิบดี Biden หรืออดีตประธานาธิบดี Trump ต่างก็เห็นพ้องถึงความจำเป็นในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมต่อเรือของชาติ

ที่มา - posttoday