รายงานจากบลูมเบิร์กระบุว่า การส่งออกของจีนในเดือนกันยายนปี 2568 ขยายตัวถึง 8.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 3.286 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 6 เดือน และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของภาคการค้าจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้อยู่ท่ามกลางความตึงเครียดจากสงครามการค้ากับสหรัฐ

ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนระบุว่า ยอดการส่งออกในเดือนกันยายนเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ และสูงกว่าคาดการณ์เฉลี่ยที่ 6.6% ของนักวิเคราะห์ที่สำรวจโดยบลูมเบิร์ก ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำว่าภาคการส่งออกของจีนยังไม่ชะลอตัวลงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล โดยจีนสามารถขยายการส่งออกได้เกือบทุกตลาดทั่วโลก ยกเว้นเพียงตลาดสหรัฐที่ยังคงหดตัว

การส่งออกไปยังสหรัฐลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่หกติดต่อกัน โดยเดือนกันยายนหดตัวถึง 27% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากมาตรการภาษีศุลกากรที่เข้มงวดขึ้นของวอชิงตัน อย่างไรก็ตาม จีนสามารถชดเชยความสูญเสียในตลาดนี้ได้ด้วยการเร่งขยายยอดขายไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก การส่งออกไปยังประเทศนอกสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 14.8% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตเร็วที่สุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการจีนปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการหาตลาดใหม่และการส่งสินค้าผ่านประเทศที่สาม

ในกลุ่มตลาดที่มีการเติบโตโดดเด่น การส่งออกไปยังทวีปแอฟริกาเพิ่มขึ้นถึง 56% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 ส่วนตลาดลาตินอเมริกาเพิ่มขึ้น 15.2% หลังจากที่ชะลอตัวลงในช่วงกลางปี ขณะที่การส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (อียู) เพิ่มขึ้นกว่า 14% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เติบโตเกือบ 16%

เวียดนามถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญที่มีการเติบโตโดดเด่นที่สุด โดยยอดส่งออกของจีนไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบ 25% แม้จะมีสัญญาณชะลอตัวบางส่วน โดยบริษัทวิจัย Capital Economics ระบุว่า เวียดนามกลายเป็น “ศูนย์กลางการเปลี่ยนเส้นทางอันดับหนึ่ง” ของสินค้าจีน เนื่องจากบริษัทจีนจำนวนมากเลือกใช้เวียดนามเป็นฐานในการส่งต่อสินค้าไปยังตลาดตะวันตก เพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐ

ด้านการนำเข้าของจีนในเดือนกันยายนก็เติบโตแข็งแกร่งเช่นกัน เพิ่มขึ้น 7.4% จากปีก่อนหน้า สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ สะท้อนถึงการฟื้นตัวของความต้องการในประเทศและการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน ทั้งนี้ จีนยังคงมีดุลการค้าเกินดุลอยู่ที่ 9.05 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะของจีนในการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐในระลอกล่าสุด

มิเชลล์ แลม นักเศรษฐศาสตร์ประจำจีนแผ่นดินใหญ่จากสำนักวิจัย Societe Generale SA ให้ความเห็นว่า “การส่งออกของจีนยังคงแข็งแกร่ง แม้เผชิญกับภาษีศุลกากรของสหรัฐ เนื่องจากจีนมีตลาดส่งออกที่หลากหลายและมีความสามารถในการแข่งขันสูง” เธอกล่าวเพิ่มเติมว่าความต้องการจากประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐยังคงมีอยู่มาก ทำให้ผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐมีขอบเขตจำกัด ทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืดและการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์

จีนมีกำหนดประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ด้วยการเติบโตที่แข็งแกร่งในสองไตรมาสแรก จีนยังคงมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการที่ระดับประมาณ 5% ได้ตามที่รัฐบาลตั้งไว้