“ครม. รับทราบรายงานส่งออกเดือนสิงหาคม มูลค่าแตะ 8.89 แสนล้านบาท สหรัฐฯ–จีน–อาเซียนหนุนโตต่อเนื่อง ข้าวไทยยังฮอตในตลาดตะวันออกกลาง–แอฟริกา”

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการส่งออกของไทยประจำเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 27,743.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 889,014 ล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 4.8 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 แม้จะชะลอตัวเล็กน้อยจากแรงกดดันของภาษีศุลกากรต่างตอบแทนที่สหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้ แต่ภาพรวมยังสะท้อนความแข็งแกร่งของภาคการค้าไทยในตลาดโลก

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ เปิดเผยว่า การขยายตัวของการส่งออกในเดือนดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการวางแผนจัดการความเสี่ยงด้านราคาที่มีความชัดเจนมากขึ้นของผู้นำเข้าสหรัฐฯ แม้ว่าระดับสินค้าคงคลังในตลาดสหรัฐฯ จะปรับเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่สินค้าในหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ายังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนสินค้าเกษตรอย่างข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง แม้เผชิญการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น แต่ยังสามารถรักษาตลาดหลักไว้ได้

ในภาพรวมของช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกของไทยขยายตัว ร้อยละ 13.3 และหากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การขยายตัวยังคงอยู่ในระดับเดียวกัน สะท้อนว่าภาคการค้าปกติของไทยยังคงมีแรงขับเคลื่อนที่มั่นคง

ด้านตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และอาเซียน ยังคงเป็นแรงหนุนหลัก โดยตลาดใหม่อย่าง กลุ่ม CLMV ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะ ข้าวไทย ซึ่งได้รับความต้องการเพิ่มสูงในตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกา เนื่องจากคุณภาพและความน่าเชื่อถือของแหล่งผลิต ขณะที่สินค้าเกษตรอื่นๆ อย่างผลไม้ไทย ยังคงเป็นที่ต้องการในหลายประเทศ

กระทรวงพาณิชย์คาดว่า แนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปีจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง ภายใต้แรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ทยอยฟื้นตัว การท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก และการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการส่งเสริมการค้า การเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ และการสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงตลาดโลกมากขึ้น

ทั้งนี้ ภาครัฐยืนยันว่า “การส่งออก” ยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และจะได้รับการผลักดันต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว.