ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและทิศทางการค้าที่มุ่งสู่ความยั่งยืน การส่งออกสินค้าของไทยภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของสหภาพยุโรป กลับแสดงศักยภาพเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568 โดยมีมูลค่ารวม 203.63 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับภาพรวมการส่งออกของไทยทั้งปี 2567 ที่หดตัวลง 5.68%

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ความสำเร็จดังกล่าวเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยต่อมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดอียูที่ถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่กำหนดมาตรฐานสูงสุดด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กลุ่มสินค้าเหล็กและเหล็กกล้า ถือเป็นหัวหอกสำคัญของไทยในการขับเคลื่อนการส่งออกภายใต้ CBAM โดยมีมูลค่าส่งออก 169.78 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นกว่า 83% ของการส่งออกสินค้าประเภทนี้ทั้งหมดจากไทยไปยังอียู และขยายตัวสูงถึง 40.36% แม้ว่าภาพรวมการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าไปตลาดโลกจะหดตัว 15.19% ตัวเลขนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่าสินค้าเหล็กของไทยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยุโรปที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและการผลิตที่ยั่งยืน

ในทางกลับกัน กลุ่มอะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกลับประสบภาวะหดตัวต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าส่งออก 33.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.99% จากปีก่อน แม้ว่าการส่งออกไปตลาดโลกในกลุ่มนี้จะเติบโตได้กว่า 17% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายของผู้ประกอบการไทยที่ต้องปรับตัวให้ทันกับข้อกำหนด CBAM ของยุโรป

มาตรการ CBAM ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ “European Green Deal” ที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป CBAM จะบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ผู้นำเข้าสินค้าในอียูจะต้องซื้อและส่งมอบ “CBAM Certificate” ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าที่นำเข้า ซึ่งย่อมส่งผลต่อต้นทุนของผู้ประกอบการไทย

นายพูนพงษ์ย้ำว่า แม้มูลค่าการส่งออกไทยภายใต้ CBAM ไปยังอียูจะยังมีสัดส่วนเพียงราว 4.74% ของการส่งออก CBAM ไปทั่วโลก แต่การเติบโตที่โดดเด่นนี้สะท้อนถึงโอกาสและศักยภาพในการรักษาตลาดยุโรปไว้ ขณะเดียวกันยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการเจาะตลาดใหม่ ๆ ที่กำลังให้ความสำคัญกับมาตรการสิ่งแวดล้อมในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร สหรัฐ หรือออสเตรเลีย

สำหรับผู้ประกอบการไทย ความท้าทายครั้งนี้จึงควรถูกมองเป็นโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถ โดยต้องเร่งศึกษาและทำความเข้าใจระบบการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Embedded Emission) พร้อมลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดและกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกยุคใหม่ที่ “ความยั่งยืน” กำลังกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่ความสำเร็จทางการค้า