อินโดนีเซียยังคงเดินหน้าสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลได้เพิ่มงบประมาณให้กระทรวงเกษตรกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรและระบบชลประทาน รวมถึงเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวอีกกว่า 481,000 เฮกตาร์ ภายใต้โครงการยุทธศาสตร์แห่งชาติ Wanam PSN ที่จังหวัดปาปัวใต้ มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองด้านอาหาร พลังงาน และน้ำ โดยมุ่งส่งเสริมการผลิตข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอลและไบโอดีเซล รัฐบาลอินโดนีเซียมั่นใจว่าในปี 2568 จะไม่จำเป็นต้องนำเข้าข้าวอีกต่อไป หลังผลผลิตเพิ่มขึ้นแตะระดับ 33.19 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 12.6% จากปีก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเจ็ดปี พร้อมกันนี้ยังได้ผ่อนคลายนโยบายการนำเข้าโคเพศเมียและโคนม เพื่อใช้ในการเพาะพันธุ์และผลิตนมสำหรับโครงการอาหารฟรีของรัฐบาล
ในอีกด้านหนึ่ง กระทรวงดิจิทัลของอินโดนีเซียได้สั่งระงับการจดทะเบียน TikTok ชั่วคราว เนื่องจากแพลตฟอร์มดังกล่าวไม่ส่งข้อมูลครบถ้วนตามคำขอของรัฐบาล หลังเกิดเหตุถ่ายทอดสดระหว่างการประท้วงในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลระบุว่า TikTok ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ การถ่ายทอดสด และกิจกรรมของผู้ใช้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม กระทรวงได้ยืนยันในภายหลังว่า พร้อมจะยกเลิกการระงับทันทีที่บริษัทดำเนินการตามเงื่อนไขทั้งหมดที่กำหนดไว้
สำหรับเวียดนาม แม้เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวแข็งแกร่ง โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มียอดเงินลงทุนรวม 26.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 27.3% จากปีก่อน และมีการเบิกจ่ายแล้วกว่า 15.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.8% ภาคการผลิตและแปรรูปยังคงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกว่า 62.9% ของทั้งหมด รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมายดึงดูด FDI ตลอดทั้งปีให้ได้ 38,000–40,000 ล้านดอลลาร์ แม้ยอมรับว่ายังเป็นความท้าทาย จึงได้ออกนโยบาย “ช่องทางสีเขียว (Green Channel)” เพื่อย่นระยะเวลาการตรวจสอบและอนุมัติโครงการ พร้อมยกระดับความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ เพื่อดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าสู่ประเทศ
ในส่วนของกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลเวียดนามได้จัดทำร่างกฤษฎีกาฉบับใหม่ว่าด้วยการจัดการสินค้านำเข้าชั่วคราวและส่งออกกลับ แทนกฤษฎีกาฉบับเดิมปี 2561 เพื่อปิดช่องโหว่การลักลอบขนสินค้าปลอมและการเปลี่ยนฉลากสินค้าต้นทางเป็น “Made in Vietnam” เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐ กฎหมายใหม่นี้จำกัดระยะเวลาการจัดเก็บสินค้าไม่เกิน 60 วัน และสามารถขยายได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละ 30 วัน อีกทั้งกำหนดให้สินค้าทั้งหมดต้องผ่านด่านพรมแดนหลักเท่านั้น โดยสินค้ากลุ่มอ่อนไหวต้องได้รับใบอนุญาตเฉพาะก่อนดำเนินการ
ขณะเดียวกัน นครโฮจิมินห์ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางทางการเงินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยในรายงาน Global Financial Centres Index (GFCI) ฉบับที่ 38 นครโฮจิมินห์ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 95 เพิ่มขึ้นสามอันดับจากปีก่อน และได้คะแนนรวม 664 คะแนน เพิ่มขึ้น 10 คะแนน แซงกรุงเทพฯ ซึ่งร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 102 รายงานดังกล่าวระบุว่า โฮจิมินห์อยู่ในกลุ่ม 15 เมืองที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 2–3 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลเวียดนามที่ตั้งใจพัฒนาให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางการเงินแห่งชาติภายในปี 2568 และดำเนินการเต็มรูปแบบภายในอีก 5 ปีต่อจากนี้