เว็บไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม รายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนามอยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฤษฎีกาฉบับใหม่เพื่อแทนที่กฤษฎีกาเลขที่ 69/2018 ว่าด้วยการบริหารการค้าต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลกิจกรรมการนำเข้าแบบชั่วคราวเพื่อส่งออกกลับ (Temporary Importation for Re-exportation)
มาตรการใหม่นี้กำหนดให้สินค้าที่นำเข้าแบบชั่วคราวสามารถเก็บรักษาได้สูงสุดไม่เกิน 60 วัน และอนุญาตให้ขยายเวลาได้เพียงสองครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน การกำหนดกรอบเวลาเช่นนี้มุ่งลดการนำเข้าเพื่อการค้าผิดกฎหมาย (Illicit Trade) ซึ่งในอดีตเวียดนามเผชิญปัญหาการใช้ช่องทางการนำเข้าชั่วคราวในการลักลอบค้าข้ามพรมแดน โดยเฉพาะเส้นทางจากนครโฮจิมินห์ไปยังกัมพูชา และเส้นทางนำเข้าสินค้ากลับจากกัมพูชา การควบคุมให้สินค้าผ่านเฉพาะด่านระหว่างประเทศและด่านหลักของประเทศ ถือเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบ ลดความเสี่ยงด้านภาษี และเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ในทางธุรกิจ มาตรการใหม่นี้อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการที่เคยใช้เวียดนามเป็นฐานพักสินค้าระยะยาว แต่ในระยะยาวกลับจะช่วยยกระดับความโปร่งใสทางการค้าและลดโอกาสที่เวียดนามจะถูกใช้เป็นฐานถ่ายลำสินค้า (Transshipment) ที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการลดความเสี่ยงต่อข้อพิพาททางการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งเพิ่งประกาศจัดเก็บภาษีตอบโต้ 20% สำหรับสินค้าจากเวียดนาม และภาษีสูงสุดถึง 40% สำหรับสินค้าที่ถูกระบุว่ามีการถ่ายลำ
ในเชิงยุทธศาสตร์ การปรับกฎหมายครั้งนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของเวียดนามในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการค้าและโลจิสติกส์ เพื่อวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคและระดับโลก การยกระดับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่คู่ค้าต่างประเทศ และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมสนับสนุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
สคต.โฮจิมินห์ ระบุว่า การบังคับใช้กฤษฎีกาฉบับใหม่ที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากการลักลอบนำเข้าและหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ตลอดจนยกระดับความโปร่งใสของระบบอำนวยความสะดวกทางการค้า และสร้างความเชื่อมั่นในกลไกกำกับดูแลการค้าระหว่างประเทศของเวียดนาม ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนและการค้าในระดับภูมิภาค
สำหรับผู้ประกอบการไทย สคต.โฮจิมินห์ แนะนำให้ใช้โอกาสนี้ในการยกระดับภาพลักษณ์และสร้างความน่าเชื่อถือของธุรกิจในตลาดเวียดนาม รวมทั้งตลาดเชื่อมโยงอื่น ๆ มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดการแข่งขันจากสินค้าลอกเลียนแบบหรือสินค้าที่ผ่านช่องทางผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นอกจากนี้ การที่เวียดนามมีเป้าหมายพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค จะเปิดโอกาสให้ไทยใช้เวียดนามเป็นจุดกระจายสินค้าสำคัญไปยังกัมพูชา ลาว จีน และตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การกำหนดเส้นทางผ่านด่านศุลกากรหลักและด่านระหว่างประเทศอย่างชัดเจนยังช่วยลดความซับซ้อนและความเสี่ยงจากการค้าชายแดนย่อย ซึ่งมักมีปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้า
ผู้ประกอบการไทยจึงควรวางแผนการนำเข้าและส่งออกให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ โดยเฉพาะการบริหารระยะเวลาพักสินค้าชั่วคราวไม่ให้เกิน 60 วัน พร้อมจัดเตรียมเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) อย่างถูกต้องและโปร่งใส เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความว่าเป็นการถ่ายลำสินค้า ซึ่งอาจถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% ในตลาดสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
ในระยะยาว การลงทุนในระบบโลจิสติกส์ การตรวจสอบคุณภาพสินค้า และการปฏิบัติตามมาตรการทางการค้าอย่างเคร่งครัด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยใช้เวียดนามเป็นฐานกลางทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน และต่อยอดศักยภาพของไทยในฐานะพันธมิตรเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างมั่นคง