เอกนิติชี้ไทยต้อง “รีเซตเศรษฐกิจ 4 มิติ” ดันปี 2569 เป็นปีแห่งการลงทุน ฟื้นเสถียรภาพ–หนุน SMEs–ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงาน Go Thailand 2026 – Beyond Survival โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ และจำเป็นต้อง “รีเซตเศรษฐกิจครั้งใหญ่” เพื่อรับมือความท้าทายใหม่ ทั้งด้านโครงสร้าง เศรษฐกิจโลก และสังคมสูงวัย รัฐบาลจึงเตรียมเสนอให้ปี 2569 เป็น “ปีแห่งการลงทุน” พร้อมกำหนดทิศทางการรีเซต 4 ด้านหลัก ครอบคลุมการเติบโต การคลัง สังคม และสิ่งแวดล้อม
เอกนิติกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญภาวะเติบโตต่ำมาเป็นเวลานาน จากเดิมที่เติบโตเฉลี่ยถึง 7% ต่อปี กลับลดลงเหลือเพียง 2–3% ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพึ่งพาการลงทุนในอดีตมากเกินไป ภายหลังวิกฤตปี 2540 สัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพีลดลงจากระดับ 40% เหลือเพียง 22% เท่านั้น เขาเปรียบเทียบว่า “ประเทศไทยเหมือนโรงงานเก่าที่ผลิตสินค้าไม่ตรงกับความต้องการของโลก” จึงจำเป็นต้องเร่งลงทุนใหม่เพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาการส่งออก และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งหนี้ครัวเรือนและสภาพคล่องของ SMEs
แม้ระบบการเงินของประเทศยังอยู่ในเกณฑ์แข็งแกร่งจากหนี้เสียต่ำและทุนสำรองสูง แต่เสถียรภาพทางการคลังกำลังเผชิญแรงกดดันจากภาระงบประมาณช่วงโควิด ซึ่งทำให้หลายสถาบันจัดอันดับแสดงความกังวลต่อแนวโน้มเครดิต รัฐบาลจึงจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง โดยมีเป้าหมายลดการขาดดุลจาก 4.4% ของจีดีพี ให้ลงต่ำกว่า 3% ภายในปี 2572 พร้อมเร่งชำระคืนหนี้รัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะ ธ.ก.ส. เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งส่งผลให้ S&P ตัดสินใจคงอันดับเครดิตของไทยจากความชัดเจนในทิศทางดังกล่าว
ในด้านสังคม ไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยด้วยความเร็วสูง ท่ามกลางความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึก โดยกลุ่มรายได้สูงสุด 20% ถือครองรายได้เกินครึ่งของประเทศ ขณะที่กลุ่มรายได้ต่ำสุด 20% มีสัดส่วนเพียง 6% เท่านั้น รัฐบาลจึงเตรียมมาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs ผ่านการเร่งจ่ายเงินคู่ค้าทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการขยายการใช้งานระบบ PromptBiz นอกจากนี้ยังมีโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อยกระดับทักษะผู้ค้ารายย่อยให้ทำงานออนไลน์ ทำบัญชี และเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้จริง ส่วนแรงงานสูงวัยที่ยังมีศักยภาพจะได้รับการเปิดโอกาสให้กลับเข้าสู่ตลาดแรงงานควบคู่กับการดึงบุคลากรคุณภาพสูงจากต่างประเทศมาช่วยเติมเต็มกำลังแรงงานที่ขาดแคลน
สำหรับประเด็นสิ่งแวดล้อม เอกนิติชี้ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่เป็นสัญญาณเตือนรุนแรงว่าประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลตั้งคณะทำงานถอดบทเรียนและจัดทำมาตรการรับมือน้ำท่วมถาวร ในขณะเดียวกัน ธุรกิจไทยต้องเตรียมพร้อมต่อกติกาสิ่งแวดล้อมใหม่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น CBAM หรือมาตรฐานสินเชื่อสีเขียว เขาย้ำว่าประเทศไทยมีศักยภาพพลังงานสะอาดสูง ทั้งแดด พื้นที่ และอ่างเก็บน้ำ รัฐบาลจึงเร่งปลดล็อกกฎ Direct PPA และสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต ตั้งแต่ Smart Farming อาหารแปรรูป อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ แผงวงจรไฟฟ้า (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึง Medical Hub และ Wellness
แม้ปัจจุบันมีโครงการกว่า 460,000 ล้านบาทที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI แต่ยังไม่สามารถเริ่มได้เพราะติดปัญหาด้านสาธารณูปโภค วีซ่า พื้นที่ และโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลจึงเตรียมเดินหน้าโมเดล PPP และ Infrastructure Fund เพื่อแก้คอขวดและเร่งให้โครงการเริ่มเดินหน้าจริง
เอกนิติสรุปว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะแรงงาน การสนับสนุน SMEs และการปรับตัวรับเศรษฐกิจสีเขียว เป็น “โอกาสครั้งสำคัญ” ที่ประเทศไทยต้องคว้าไว้ หากต้องการฟื้นเสถียรภาพและกลับสู่เส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนอีกครั้งในอนาคต

