“คมนาคม–สรท. ผนึกกำลังเร่งคลี่คลายปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบัง เดินหน้า SRTO–ICD ลาดกระบัง พร้อมปลดล็อกกฎหมายถ่ายลำ ลดต้นทุนส่งออกไทยกว่าพันล้านบาทต่อปี”
ภาครัฐและเอกชนเดินหน้าร่วมกันแก้ปัญหาความแออัดในระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) พร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ได้เข้าพบนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวมถึงผู้บริหารจากหน่วยงานหลักในสังกัดกระทรวงคมนาคม อาทิ การท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมเจ้าท่า การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมการขนส่งทางราง และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์และการอำนวยความสะดวกในการส่งออกของไทย
แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันจะมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งที่จำกัด แต่ได้แสดงจุดยืนชัดเจนในการให้ความสำคัญต่อการ “สนับสนุนการพัฒนา” และ “ลดข้อจำกัด” ด้านโลจิสติกส์การค้า เพื่อผลักดันการส่งออกในช่วงโค้งสุดท้ายของปี และวางรากฐานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในการหารือครั้งนี้ สรท. ได้หยิบยกประเด็นเร่งด่วน 3 ด้านหลัก เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเชิงโครงสร้าง โดยเน้นไปที่การบรรเทาภาระต้นทุนและเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ประกอบการส่งออก
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาความแออัดในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าส่งออกของประเทศ โดยกระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดการดำเนินโครงการ Single Rail Transport Operator (SRTO) เพื่อเพิ่มการขนส่งสินค้าทางรางแทนรถบรรทุก พร้อมผลักดันการเซ็นสัญญาสัมปทานโครงการ ICD ลาดกระบัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อกับท่าเรือ รวมถึงการจัดสรรพื้นที่จอดรถบรรทุกทั้งภายในและนอกท่าเรือให้เพียงพอ และการประสานกับกรมศุลกากรให้สถานี ICD สามารถดำเนินพิธีการศุลกากรขาออกได้อย่างครบวงจร
ในด้านกฎหมายและกฎระเบียบ มีการเห็นพ้องให้เร่งปลดล็อกข้อจำกัดเรื่อง “การถ่ายลำตู้คอนเทนเนอร์” ในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องแบกรับต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งในภูมิภาค การปรับแก้กฎหมาย 6 ฉบับแรกจากทั้งหมด 17 ฉบับจะช่วยลดต้นทุนการส่งออกของประเทศได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมกันนี้ยังมีการหารือถึงการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วย “ความสูงของรถบรรทุก” ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ประเภท High Cube และรถขนส่งยานยนต์
ขณะเดียวกัน การพัฒนาดิจิทัลก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ โดยกระทรวงคมนาคมได้เร่งพัฒนาระบบ Port Community System (PCS) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานและผู้ประกอบการให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมบูรณาการเข้ากับระบบบริหารจัดการคิวรถบรรทุก (Truck Queue) ซึ่งจะช่วยลดเวลารอคิวและเพิ่มความคล่องตัวในการขนส่งสินค้าภายในท่าเรือแหลมฉบัง
ทั้งกระทรวงคมนาคมและ สรท. ต่างตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนข้อเสนอให้เกิดผลในทางปฏิบัติ โดย สรท. จะทำหน้าที่เป็น “กระบอกเสียง” ของผู้ส่งออกและผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เพื่อเสนอประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขต่อภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ของไทยให้มีความทันสมัย แข่งขันได้ในระดับโลก และนำพาประเทศเข้าสู่ระบบการค้าสากลอย่างยั่งยืนในอนาคต.

