นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางกระแสความตึงเครียดทางการค้าระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ภายใต้ยุค "ทรัมป์ 2.0" ซึ่งสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้า และยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีขั้นต่ำ (De Minimis) สำหรับสินค้าจีน ขณะที่จีนเองก็ตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงเช่นเดียวกัน

ข้อมูลจาก Trademap.org ระบุว่า ในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าเกษตร (HS 01-24) ไปยังสหรัฐฯ รวมมูลค่าสูงถึง 4,759.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกลุ่มสินค้าหลักที่ครองสัดส่วนสูงสุด ได้แก่ อาหารสุนัขและแมว, ข้าว, ปลาทูน่าปรุงแต่ง, น้ำผลไม้, อาหารปรุงแต่ง, ซอสและเครื่องปรุง, กุ้งปรุงแต่ง, กุ้งแช่แข็ง, ผลไม้และลูกนัตปรุงแต่ง และสับปะรดปรุงแต่ง

สนค. วิเคราะห์ผลกระทบต่อการค้าสินค้าเกษตรไทยในสถานการณ์ใหม่นี้ โดยพบว่า สินค้าบางกลุ่มของไทยมีศักยภาพในการขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้อย่างน่าสนใจ อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยงและข้าว ซึ่งปัจจุบันไทยครองสัดส่วนการนำเข้าสูงถึง 38% และ 56% ตามลำดับ และมีโอกาสได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากการที่สินค้าจีนเผชิญกำแพงภาษีสูงขึ้น นอกจากนี้สินค้าอย่างปลาแมคเคอเรลปรุงแต่ง หน่อไม้ปรุงแต่ง และเนื้อปลาลิ้นหมาก็อยู่ในกลุ่มที่ไทยมีโอกาสช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น

ขณะเดียวกัน สินค้าบางรายการที่ไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ไม่สูงนัก เช่น พาสต้าแบบอื่น ๆ (เส้นหมี่, วุ้นเส้น), ปลาหมึกแช่แข็ง, ซอสถั่วเหลือง หรือผักตระกูลถั่วแช่แข็ง ก็ถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโต หากมีการส่งเสริมด้านคุณภาพ การผลิต และการตลาดอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและตอบโจทย์ตลาดอเมริกันที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ ๆ แทนสินค้าจากจีน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโอกาสก็มีความท้าทายที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากสหรัฐฯ เองยังได้ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ต่อไทยในอัตราสูงถึง 36% แม้ขณะนี้จะมีการระงับการใช้มาตรการดังกล่าวไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน นับจาก 9 เมษายน 2568 ก็ตาม นอกจากนี้ การที่จีนไม่สามารถส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ ได้เช่นเดิม ยังอาจทำให้จีนระบายสินค้าจำนวนมากไปยังตลาดอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้สินค้าไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

ในอีกด้านหนึ่ง สนค. ยังเตือนให้จับตา "การเบี่ยงเบนทางการค้า" ในสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะกลุ่มที่จีนมีศักยภาพสูง และไทยผลิตได้เองแต่ยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายใน เช่น กระเทียมสด พืชผักแปรรูป พริกแห้ง ชาเขียว และหอมหัวใหญ่แห้ง สินค้าเหล่านี้มีแนวโน้มว่าจีนอาจส่งออกเข้ามาไทยมากขึ้น หากตลาดสหรัฐฯ ติดกำแพงภาษีสูง ทำให้สินค้าจากจีนไหลทะลักเข้าสู่ประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย ซึ่งเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศต้องเตรียมพร้อมรับมือการแข่งขันที่อาจรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันบางกลุ่มอุตสาหกรรมอาจได้ประโยชน์จากวัตถุดิบราคาถูกสำหรับการแปรรูปส่งออก

นายพูนพงษ์ยังเน้นย้ำว่า ความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ 2.0 ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด สนค. ได้วางแผนรับมือในหลายมิติ ทั้งในระยะสั้น เช่น การเข้มงวดมาตรฐานการนำเข้าสินค้าเกษตร เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศ รวมถึงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และในระยะยาว เช่น การเร่งรัดเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี กระจายตลาดส่งออกใหม่ๆ และการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทย เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางการค้าในเวทีโลกอย่างยั่งยืน

ที่มา - thaipbs