กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการการค้าโลกเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศแบบครอบคลุม โดยกำหนด ภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าทุกชนิด ที่เข้าสู่สหรัฐฯ พร้อมตั้ง “กำแพงภาษี” ที่สูงยิ่งขึ้นสำหรับอีกกว่า 60 ประเทศ ซึ่งรวมถึง “คู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ” อย่าง ไทย จีน และสหภาพยุโรป
สหรัฐฯ ปรับเกม สร้างกำแพงภาษีรอบประเทศ
- จีน โดนภาษีนำเข้าเพิ่มเป็น 34% (จากเดิม 20%)
- ไทย ถูกรีดภาษีสูงถึง 36%
- เวียดนาม โดนหนักสุดที่ 46%
- กัมพูชา ทะลุ 49%
- สหภาพยุโรป โดนเก็บภาษี 20%
- แคนาดา-เม็กซิโก รอดรอบนี้ หลังถูกเก็บไปแล้ว 25% กับสินค้าบางประเภท
มาตรการดังกล่าวจะเริ่มทยอยบังคับใช้ใน วันที่ 5 เมษายน สำหรับภาษีพื้นฐาน 10% และ วันที่ 9 เมษายน สำหรับภาษีเพิ่มเติมในกลุ่มประเทศเป้าหมาย
ทรัมป์ลั่น “เพื่อนบางคน แย่กว่าศัตรู”
ทรัมป์ให้เหตุผลว่า มาตรการนี้เป็นการ ตอบโต้ภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่ประเทศอื่นๆใช้กับสินค้าอเมริกัน พร้อมย้ำว่า “หลายครั้ง เพื่อนของเราน่ากลัวยิ่งกว่าศัตรู ในแง่ของการค้า”
นอกจากนี้ เขายังลงนามยกเลิกกฎ de minimis ซึ่งเดิมให้สิทธิสินค้านำเข้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์/วัน ไม่ต้องเสียภาษี - ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าออนไลน์ที่สั่งเข้าจาก จีนและฮ่องกง โดยจะมีผลบังคับใช้ในทันที
🛑 กลุ่มสินค้าที่ได้รับการยกเว้นชั่วคราว
แม้จะเก็บภาษีอย่างครอบคลุม แต่ยังมีบางกลุ่มสินค้าที่ ยังไม่ถูกบังคับใช้ภาษีใหม่ ได้แก่:
- ทองแดง
- ยา
- เซมิคอนดักเตอร์
- ทองคำ
- พลังงาน
- แร่หายากบางชนิด
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณว่าสินค้ากลุ่มนี้ก็อาจถูกจัดเก็บภาษีในอนาคต โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ ยา และแร่สำคัญ ที่มีความเกี่ยวพันด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
เศรษฐกิจโลกส่อสะเทือน - นักเศรษฐศาสตร์เตือนผลกระทบวงกว้าง
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า มาตรการนี้จะเพิ่มต้นทุนผู้บริโภคในสหรัฐฯ หลายพันล้านดอลลาร์ รวมถึงดันราคาสินค้าทุกอย่าง ตั้งแต่จักรยานจนถึงไวน์ เพิ่มโอกาสเกิด ภาวะเศรษฐกิจถดถอย สร้างแรงกระเพื่อมให้ ประเทศคู่ค้าตอบโต้ ด้วยมาตรการของตัวเอง ตลอดจนในภาคธุรกิจ หลายบริษัทต่างโอดครวญว่ามาตรการภาษีของทรัมป์ทำให้ แผนการนำเข้า การลงทุน และซัพพลายเชนต้องสะดุด
ไทยโดนหนัก – รีดภาษี 36% สูงกว่า “จีน”
แม้ในแถลงการณ์จะไม่ได้เอ่ยถึงประเทศไทยโดยตรง แต่ ภาพถ่ายที่ทรัมป์ชูบอร์ดแสดงตารางภาษี ชี้ชัดว่า ไทยถูกจัดเก็บภาษีสูงถึง 36% อยู่ในลำดับต้นๆ ของประเทศเป้าหมาย โดยเป็นรองเพียงเวียดนามและกัมพูชา นี่ถือเป็นสัญญาณเตือนที่แรงที่สุดต่อ ผู้ส่งออกไทย ที่ต้องเร่งประเมินผลกระทบและหาทางรับมือโดยด่วน
ที่มา - mgronline